"BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - Printable Version +- NimitGuitar webboard (http://www.NimitGuitar.com/mybb) +-- Forum: All solid webboard (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=1) +--- Forum: Guitar gallery (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=3) +---- Forum: Pood's Guitar Gallery (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=20) +---- Thread: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? (/showthread.php?tid=2284) Pages:
1
2
|
"BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - pood - 12-08-2008 มาเริ่มกันที่ยุค '70s เลยนะครับ เหตุเกิดที่เมืองเล็กๆชื่อ Spring Valley ที่อยู่ใน California สมัยนั้นถ้าพูดถึง icon ของเสียงกีต้าร์โปร่งเกือบทุกยี่ห้อที่เกิดใหม่มักทำกีต้าร์ ให้เสียงและหน้าตาคล้าย Martin กันทั้งนั้น ถ้าอเมริกันก็มี Santa Cruz ส่วน ญี่ปุ่นนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง ในเมือง Spring Valley มีเพื่อนซี้ที่ตอนหลังมาโด่งดัง กันห้าคนคือ James Goodall, Kim Breedlove,,Geoff Stelling, Greg Deering, Steve Henderson และน้องชายของ Kim คือ Larry Breedlove ห่างออกไปแค่สี่ห้าไมล์ก็มีคนบ้ากีต้าร์อีกคนหนึ่งคือ Bob Taylor ที่ตอนแรกก็เป็นลูกจ้างที่ร้าน American Dream แต่ก้กัดฟันซื้อกิจการซะเลยในปี 1975 เพื่อทำกีต้าร์ขาย แก้งค์นี้สนิทกันมากจนทุกคนมีความคิดเดียวกันว่าต้องทำกีต้าร์ของตัวเองให้เสียงต่างกับ Martin เพื่อเอาใจคนยุคใหม่ ต่อมา James Goodall ก็ไปตั้งบริษัทเล็กฯและย้ายไป Hawaii Kim Breedlove ก็ไปทำ banjo และ mandolin กับ Stelling Larry และ Steve ก็ไปทำงานให้ Bob Taylor กระโดดมาปี 1990 Steve กับ Larry ก็ลาออกมาตั้งบริษัท Breedlove เพื่อทำ กีต้าร์ขายเอง Bob Taylor กลัวเพื่อนจะอดตายเลยแต่งตั้งให้ Breedlove เป็น ศุนย์ซ่อมกีต้าร์ Taylor ไปพลางๆก่อนด้วย ตอนแรกๆ Steve กับ Larry ก็พยายามหาเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองและ ก็ไปเจอระบบ JLD bridge system เข้า ระบบนี้ใช้ท่อนไม้ถ่ายทอดแรงดึงของสายจาก top ให้ไปดึงที่ end block แทน เลยสามารถใช้ bracing บางเฉียบและ top ที่ด้านเบสไม้บางกว่าด้าน treble ใด้ คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันแต่ Breedlove Atlas series ที่ผลิตในเกาหลีมาตั้งแต่ปี 2004 เพราะโรงงานที่อเมริกาเป็น custom shop ที่ผลิตตาม order ของลูกค้าเท่านั้น เอเย่นต์เมืองไทยก็มี US Breedlove แอบอยู่สามตัวแต่ไม่เอามาโชว์เพราะมัน แพง มาดู Breedlove ที่ผมมีกันเลยดีกว่า ตัวสายเหล็กมีชื่อเต็มว่า sc20/MH "A2" ตัวนี้ ผลิตปี 2002 ครับ ถอดรหัสใด้ว่าเป็นรุ่น S-series ที่มี options ไม้หลังและข้างเป็น mahogany(MH) ส่วนไม้หน้าเป็น Adirondack spruce เกรดสองครับ (A2) ส่นเกรดหนึ่งนั้น แพงกว่าและบางครั้งก็ไม่มีในสต้อค Fretboard และ pinless bridge เป็น ebony คอกว้าง 1 11/16" คอเป็น mahogany ชิ้นเดียว ลูกบิดก็ Grover ธรรมดา มี JLD bridge ปรับแรงดึงใด้ไม่ต้องกลัวท้องป่องแต่ยังไม่เคยปรับเลยครับ RE: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - pood - 12-08-2008 ตัวทีสองเป็นรุ่น nylon string jazz ที่เจ้าของบริษัทในตอนนั้นคือ Steve Henderson เป็นผู้ออกแบบและเริ่มผลิตในปี 1999 รุ่นนี้เป็นรุ่นทีใด้รับ รางวัล Player's Choice และทำชื่อเสียงให้บริษัทมากมาย รุ่นนี้คือรุ่น N20 ครับ ตัวของผมผลิตปี 2000 แต่ตา Steve แกเขียนชื่อรุ่นว่า N201 R เฉยเลย ไม้หน้าเป็น cedar ส่วนไม้หลังและข้างเป็น indian rosewood เลยมี "R" ต่อท้ายชื่อไงครับ คอกว้าง 1 3/4" fretboard เป็น ebony มี adjustable trussrod ส่วนลูกบิดเป็น vintage style ธรรมดาครับ Bridge น่าจะเป็น madagascar rosewood มี Fishman Prefix Pro Blend จากโรงงาน เจ้าตัวนี้ผมซื้อที่ญี่ปุ่นเลยไม่รู้สเป็คแบบจะจะเพราะคุยกับคนขายไม่รู้เรื่อง ลองถามไปที่ Breedlove เขาก็ไม่ทราบเพราะเขาบอกว่าเป็น one-off custom order ที่ตา Steve แกทำเองและแกก็ขายบริษัทไปตั้งแต่ปี 2001 แล้ว วันก่อนน้า Pooh หยิบมาเล่นแล้วโวยว่าทำไมไม้หลังมันไม่มีรอยต่อ พวกเราลองช่วยกันหาก็หาไม่เจอ พลิกดูด้านในก็ไม่มีไม้ดามรอยต่อที่กีต้าร์ปกติจะมีทุกตัว ตอนนี้เลยสงสัยว่าเลขหนึ่งท้ายชื่อมันหมายความว่า single plate หรือเปล่า ลองช่วยดูหน่อยครับ Breedlove N series เลิกผลิตไปในปี 2004 ครับ นับใด้ว่าเป็นกีต้าร์โปร่ง สายในล่อนสัญชาติอเมริกันตัวแรกฯที่ผลิตมาเอาใจคนเล่นกีต้าร์สายเหล็ก หลังจากนั้นกระแส nylon string jazz เริ่มมาแรงเมื่อผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง Martin ออกรุ่น 00-16xxNE series(2002-2006) และ Taylor ออก NS Series (2003-.....) กีต้าร์ไฟฟ้า nylon string jazz ตัวแรกของโลกคือ Gibson Chet Atkins CE (1981-2005) ส่วนกีต้าโปร่งตัวแรกน่าจะเป็น Lowden S25 Jazz ซึ่งคงไม่มีใคร รู้จักถ้าคุณป๋อไม่ไปเสาะหามาให้พวกเราใด้ลองตัวจริงเสียงจริงกัน ผมว่าตา Steve น่าจะมีส่วนในการออกแบบ Taylor NS series อยู่บ้างเพราะ มีเพียง Breedlove กับ Taylor ที่ใช้ fan bracing กับ nylon series นอกนั้นเห็นใช้ X-bracing กันทั้งนั้น ผมมี taylor NS อยู่ตัวนึงเอามาลงใว้เลยแล้วกันครับ RE: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - pood - 13-08-2008 เมื่อคืนคุณป๋อ PM มาบอกว่าเจ้าตัวสายไนล่อนน่าจะเป็นรุ่น N20 IR เพราะเลขหนึ่งเขาเขียนอีกแบบนึง IR คงหมายความถึง indian rosewood เพราะ N20 สเป็ค ปกติเป็น mahogany ครับ ขอบคุณครับ RE: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - SARUN - 13-08-2008 เสียงก็งาม...นามก็เพราะ... RE: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - karn - 13-08-2008 อ่านสนุก ได้ความรู้เพิ่มอีกละ ขอบคุณพี่ pood คร๊าบ RE: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - gman - 13-08-2008 อ่านประวัติแล้วก็รู้สึกวกวนอยู่เหมือนกันครับสำหรับ 2 พี่น้อง Breedlove ตัว Larry เองตอนนี้ก็กลับไปร่วมงานกับตา Bob Taylor เหมือนเดิมที่ R. Taylor แล้วครับ RE: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - djtar - 14-08-2008 กีต้าร์น้า pood แต่ละตัวนี่เหลือกินเหลือใช้เลยนะครับ เมื่อไหร่จะมีโอกาสได้สัมผัสบ้างก็ไม่รู้ครับ.. RE: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - pood - 14-08-2008 (14-08-2008, 09:23)djtar Wrote: กีต้าร์น้า pood แต่ละตัวนี่เหลือกินเหลือใช้เลยนะครับ ตอนนี้ผมก็เปิดคอนโดอยู่เกือบทุกวันอยู่แล้วครับ ว่างเมื่อไหร่ก็เชิญเลยครับ เรื่องประวัติของ Breedlove นี่มันวกวนมากอย่างที่น้า Gman ว่าเลยครับ ผมพยายามค้นจากเว้บมาเล่าไว้เพียงย่อฯในตอนแรกแต่ยังมีเรื่องน่าสนใจอีกเยอะครับ ตอนที่ Larry กับ Steve เปิดบริษัทในปี 1990 ใน Oregon นั้น ตา Kim Breedlove ไม่ใด้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลยเพราะแกทำงานอยู่กับบริษัท Stelling Banjo ใน Virginia ในปี 1994 Kim Breedlove ย้ายครอบครัวกลับมาอยู Oregon ตามคำเชิญของ น้องชาย ช่วงนี้เองที่เรื่องค่อนข้างสับสนเพราะสามเดือนต่อมา Larry ก็ขายหุ้น ทั้งหมดให้กับ Steve และย้ายไปทำงานกับ Taylor ใน California กับครอบครัว ซึ่งยังอยู่ที่โน่นตั้งแต่ปี 1982 และไม่ใด้ย้ายตามมาที่ Oregon ผมเดาว่า Bob Taylor คงชวน Larry ที่เคยเป็น chief designer กลับไปมากกว่าเพราะช่วงนั้น บริษัท Taylor กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วต่างกับ Breedlove ที่ยังกระจอกอยู่ ปัจจุบัน Taylor มีคนงาน 550 คนและมียอดขายเป็นอันดับหนึ่งของอเมริกาส่วน Breedlove USA นั้นมีคนงานแค่ 23 คน ปี 1995 เป็นยุครุ่งเรืองของ Breedlove เพราะตา Kim เริ่มใช้สายการผลิตที่ทำใด้ รวดเร็วขึ้นเลยทำให้บริษัทสามารถส่งมอบกีต้าร์ใด้มากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็เป็น จุดเริ่มต้นของจุดจบของบริษัทภายใต้การนำของ Steve Henderson ปี 1999 Breedlove ต้องเจอวิกฤติหนักเมื่อมีกีต้าร์ที่ผลิตในปี 1995 ส่งกลับมาซ่อมถึงสองร้อยกว่าตัวเพราะแล้กเคอร์ละลายและ bridge เผยอ ตอนนั้นเขาว่ากันว่า Breedlove เป็นกีต้าร์ยี่ห้อเดียวที่ยืนเล่นใด้โดยไม่ต้องใช้สายสะพายเพราะ แลกเคอร์มันเหนียวจนกีต้าร์จะติดกับตัวคนเล่น เรื่องการต้องรับซ่อมกีต้าร์จนบริษัทเจ๊งเกิดขึ้นมาแล้วกับ Tacoma แต่ Breedlove รอดมาใด้อย่างร่อแร่จน Steve Henderson ต้องขายบริษัททิ้งไปในปี 2001 ผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่เป็นใครเขาไม่บอกแต่น่าจะมี Peter Newport (president) และ Kim Breedlove (vice president) รวมอยู่ด้วย หลังจากลาออก Steve Henderson น่าจะกลับไปเป็นที่ปรึกษาให้เพื่อนเก่าคือ Bob Taylor และ Larry Breedlove ในการออกรุ่น Taylor Nylon String เพราะ series นี้มีส่วนคล้าย Breedlove Nylon Series มาก หลังจากนั้น Steve ก็เลิก ทำกีต้าร์และมาทำเฟอร์นิเจอร์ขายครับ Peter Newport เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการขยายตลาดโดยไปจ้างเกาหลีผลิต Breedlove Atlas Series ในปี 2003 ครับ ในตอนต้นผมเอ่ยถึงเพื่อนหกคนที่โตมาด้วยกันแต่ยังไม่เล่าเรื่องราวของ George Deering และ Geoff Stelling เพราะสองคนนี้ไม่ใด้ผลิตกีต้าร์ ติดตามเรื่องราวของพวกเขาใด้ตามลิ้งค์ข่างล่างครับ http://www.signonsandiego.com/uniontrib/20050215/news_1b15deering.html http://www.stellingbanjo.com/about2.htm ยังมีเรื่องราวอีกมากมายเกี่ยวกับเพื่อนสนิทกลุ่มนี้ให้อ่านใน Taylor Guitar site ครับ http://www.taylorguitars.com/history/timeline/# RE: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - .::.pOoH.::. - 14-08-2008 ได้ลองเล่นเพียงแป๊บเดียวก็รู้สึกถึงความสบายในการจับ สเกลสั้น คอเล่นง่ายมากๆเลย จับนานๆแล้วก็รู้สึกอยากได้มาแพร่พันธุ์รักมั่ง RE: "BREEDLOVE STORY".Where do I begin? - poPPie - 14-08-2008 (14-08-2008, 15:38).::.pOoH.::. Wrote: ได้ลองเล่นเพียงแป๊บเดียวก็รู้สึกถึงความสบายในการจับ สเกลสั้น คอเล่นง่ายมากๆเลย จับนานๆแล้วก็รู้สึกอยากได้มาแพร่พันธุ์รักมั่ง เล่นสนุก จับสบาย นุ่มนวล ชวนฝันจริงๆ ฝันอยากได้ครอบครองอ่ะ เจ้า ns42ce แรกพบเจอ เธอก็ช่างเย้ายวนใจให้พาฝันจริงๆ เข้าแอมป์ เสียงเธอก็ (คราง) นุ๊มนุ่ม กระเส่าหัวใจเหลือเกิน ซื๊ดด .. โอย.. ผมเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว เธอทำให้ผมร้อนไปทั้งตัว เพราะ เธอมี สามีแล้ว ธ่อ.. แห้วเลย (แอบ)รักเธอเสมอ |