NimitGuitar webboard
Freshmen ความหลังอันหวานชื่นของเด็กปี 1 - Printable Version

+- NimitGuitar webboard (http://www.NimitGuitar.com/mybb)
+-- Forum: Others (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=12)
+--- Forum: Travel / Telling story (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=6)
+--- Thread: Freshmen ความหลังอันหวานชื่นของเด็กปี 1 (/showthread.php?tid=511)

Pages: 1 2 3 4 5 6


RE: Freshmen ความหลังอันหวานชื่นของเด็กปี 1 - bright - 28-11-2007

ไปทะเลกันดีกว่า...2..ค่ำคืนริมหาดกับสาวเมาหยำเป

(ไม่พูดพร่ำทำเพลงผมขอต่อเลยนะครับ ด้วยว่าเน็ตที่ทำงานมักมีปัญหา คงทำให้ผมทิ้งช่วงเวลาสนทนาได้ไม่มากนัก)

ดวงอาทิตย์ลับไป ภาพทิวทัศน์ที่มองออกไปจากรถไฟก็มีแต่ความมืดดำ มีชุมชนหรือโรงงานมาสลับบ้างเป็นครั้งคราว รถไม่ค่อยหยุดแวะที่สถานนี คุณลุงบอกว่ารถเร็วไม่หยุดสถานีเล็ก เราฆ่าเวลาด้วยการเล่นกีต้าร์ พูดคุย สุดท้ายเราก็ลงเอยด้วยการฆ่าเวลาด้วยความเบื่อ....

พวกเราเริ่มหิว บนรถก็ไม่มีตู้เสบียง เรารอพ่อค้าเร่ที่จะขึ้นมาขายของกินบนขบวนแต่ก็ไม่มีสักคน ลุงใจดีที่นั่งข้างๆ สงสารพวกเราเลยบอกความจริงว่าช่วงค่ำรถไฟสายใต้จะไม่มีคนมาเร่ขายของกิน ลุงใจดียังบอกอีกว่ารถขบวนนี้หมดระยะที่หลังสวนเป็นรถระยะสั้นมันจะไม่มีตู้เสบียง มันไม่คุ้มคนลงทุน ว่าแล้วแกก็หยิบข้าวห่อของแกขึ้นมาจกกินต่อหน้าพวกเราสบายใจเฉิบ เราจึงต้องหยิบขนมกรุบกรอบที่จะใช้เป็นกับแกล้มขึ้นมาประทังความหิว

บางครั้งเวลาที่เราหมดเรื่องคุยกันเอง ในภาวะที่เราต้องอยู่ใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าเป็นเวลานาน มันมักจะต้องมีเรื่องของการสนทนาเกิดขึ้นซึ่งบางครั้งมิตรภาพก็มักจะเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลานั้น บนรถไฟเราหมดเรื่องคุยกันเองแล้ว ผมไม่แน่ใจนักว่าคุณลุงเป็นคนชวนพวกเราคุยหรือว่าพี่เพียว หรือไม่ก็พี่หนึ่งเป็นคนเริ่ม ผมจำรายละเอียดในการสนทนาไม่ได้มากนัก แต่จำได้ว่าลุงแกก็เอ็นดูพวกเรา แกก็มีลูกหลานเรียนอยู่ในมหาลัยแบบเรา แกจะไปชุมพร แกช่วยบอกเราเมื่อรถไฟเข้าถึงหัวหิน และก่อนลงรถพวกเราไหว้ลาแก คุณลุงอวยพรให้เราโชคดีและเดินทางปลอดภัย ทั้งยังเตือนเราอีกว่าอย่าประมาทและอย่าทโมนกันเกินนะ... ในที่สุดพวกเราก็ถึงหัวหิน มันคงสามทุ่มแล้วมั๊งสมัยนั้นนับว่าดึกโข
[Image: 1232852jpg.]
สถานีหัวหินในยามค่ำคืนไม่สวยเหมือนในตอนกลางวัน ขาดแสงสีผู้คน ความสว่างอันน้อยนิดในยามราตรีทำให้มันดูเงียบเหงา พี่เพียวเดินนำขบวนพวกเราออกจากขบวนรถไฟ เดินไปสู่ถนนที่จะตรงไปชายหาด เมื่อเข้าใกล้ชายหาดเสียงคลื่นเบาๆแว่วมา ลมทะเลพัดอ่อนๆ ร้านรวงสองข้างทางถนนที่เรามุ่งไปทะเลปิดกันเกือบหมดแล้ว พี่เพียวบอกว่าไปทำเต๊นท์ก่อนแล้วพี่จะไปซื้อของกิน

เราเลือกชายหาดไม่ใกล้ไม่ไกลถนนที่เราเดินเข้ามา ด้านหลังพวกเราคงเป็นรีสอร์ทมีแสงสว่างหลงมาเพื่อแผ่พวกเราเป็นที่กางเต๊นท์ อันที่จริงจะเรียกว่าเต๊นท์ก็ไม่ได้ เพราะเรากางให้มันเป็นเพิงหมาแหงนหันหน้าออกทะเล เพื่อรับลมทะเล เพิงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างพี่เพียวก็ออกไปหาของกินให้พวกเรา ที่จริงหาดแทบจะร้างผู้คน เพราะนอกจากพวกเราก็มีกลุ่มวัยรุ่นหญิงกำลังเล่นน้ำทะเลและวิ่งเล่นซึ่งอยู่ไกลออกไปทางขวาของเพิงสักหลายสิบเมตรได้ พวกนั้นทั้งเล่นน้ำและวิ่งเล่นอย่างมีความสุข ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดดังมาถึงที่ผม ที่เราต้องสนใจเพราะดูเหมือนสาวๆพวกนั้นกำลังกระดกเหล้าเพียวๆอยู่ และหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข

ผมกับพี่หนึ่งทำเพิงกันไปพูดคุยกันไป สักพักก็เสร็จพวกเรานั่งเล่นกีต้าร์รับลมทะเล ไกลออกไปมีเสียงพูดคุยที่ออกจะโวยวายพร้อมเสียงหัวเราะของสาวๆ เราพยายามจะร้องเพลง แต่เสียงกระตู้วู้ของเหล่าสาวๆ ทำให้พวกเราต้องหันไปมอง---คงจะเมาเพียบกันทุกคนแล้ว และไกลๆนั้น เราเห็นสาวหนึ่ง โก่งคอ ส่งเสียงโอ๊กอ๊าก อยู่พักใหญ่ และเธอก็ล้มลง เหล่าเพื่อนๆ พยายามจะลากสาวหมดสตินางนี้แต่ก็อย่างว่าครับ คนช่วยเองก็เมาจนช่วยตัวเองจะไม่ไหวแล้วจะช่วยใครได้อีก

แล้วพวกเธอก็ยกขบวนมาที่พวกผม สาวหน้าตาตื่นนางหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงตื่นๆ ว่า "พี่ขา ช่วยเพื่อนหนูหน่อยคะ" ผมมองพวกเธอ...ยังเด็กอยู่เลยน่าจะอยู่สักมัธยมปลาย ผมกับพี่หนึ่งก็มุ่งไปที่เกิดเหตุ สาวน้อยผิวขาวผมยาวหน้าตาน่ารักมาก เรือนร่างคงจะเรียกว่าอวบระยะสุดท้าย เธอสวมเสื้อยืดสีสด กางเกงขาสั้น กำลังนอนแผ่กับพื้น เศษอาหารที่เธอขย้อนออกมายังติดอยู่ที่มุมปาก

ผมกับพี่หนึ่งตรงเข้าไปประคองเธอ ตัวหนักมากกว่าที่คิด เธอยังพูดคุยได้งึมงำแต่ก็ไร้สติจนไม่มีแรงประคองตัวเอง ทิ้งน้ำหนักลงคนข้างๆทั้งหมด เราพยายามจะหิ้วปีกเธอคนละข้างกลิ่นสบู่ที่เธอใช้ปนกับกลิ่นเหล้าและอาเจียนลอยเข้าจมูกผม มันแย่มากเพราะร่างเธออ่อนปวกเปียกเหมือนไร้กระดูกไม่สามารถประคองตัวได้เลยซ้ำยังทำเอาพวกเราเซจะล้มตามด้วย

สุดท้ายพี่หนึ่งบอกว่าแกจะยกส่วนหัวโดยการยกโคนแขนทั้งสองข้าง ส่วนผมยกส่วนขาตรงเข่า ถ้าให้ผลัดกันอุ้มไปคงไม่ไหวแน่เพราะผมกับพี่หนึ่งเป็นชายไทยร่างเล็ก เราแบกร่างที่เหลือสติน้อยนิดแต่น้ำหนักมากหน่อยด้วยท่วงท่าที่น่าเกลียดและทุลักทุเลมาเกือบถึงเพิงของเรา พอดีที่พี่เพียวกลับมาพร้อมข้าวสามกล่องและเบียร์สามขวด

พี่เพียวถามพวกเราสองสามคำและตรงเข้าช่วยอุ้มร่างไร้สตินั้น ไปที่ถนน แกบอกว่าสามล้อพึ่งมาส่งแกยังอยู่ที่ถนน

ท่วงท่าในการอุ้มของพี่เพียวมันสะท้อนถึงน้ำหนักที่อยู่ในอ้อมแขนแก แกรีบจ้ำไม่พูดพร่ำทำเพลงไปที่ถนนลงหาด พวกเราและเพื่อนๆสาวนางนั้นรีบจ้ำตามแกไป ผมพึ่งสังเกตุว่ามีชายหนึ่งคนในกลุ่มจากทั้งหมดห้าคนแต่ท่าทางหนุ่มน้อยนั้นอ้อนแอ้นคล้ายหญิง เมื่อไปถึงรถสามล้อถีบ พี่เพียวก็ถามเด็กพวกนี้ว่าพักอยู่ที่ไหน ไม่มีใครตอบได้ครับ พวกเธอจำชื่อที่พักไม่ได้ แต่จำทางกลับได้ ว่าแล้วจึงให้หนุ่มน้อยนางนั้นช่วยขึ้นไปบอกทางบนสามล้อ สามล้อเริ่มเคลื่อนตัวออกช้าๆ ช้ามาก น้ำหนักสาวนางนั้น พี่เพียว และหนุ่มน้อยคงทำให้รถเคลื่อนไปได้ลำบาก

ผมกับพี่หนึ่งเดินตามรถไปพร้อมๆกับกลุ่มเพื่อนของสาวเมา(อันที่จริงพวกนี้เมาทุกคนแล้ว) พี่หนึ่งเริ่มสัมภาษณ์เด็กสาวพวกนี้ ได้ความว่าพวกเธอมาจากกรุงเทพฯ เรียนอยู่ ปวช.ในโรงเรียนพาณิชย์(ขออภัยไม่อาจเอ่ยนามครับ) มาเที่ยวเสาร์อาทิตย์ และนี่เป็นการกินเหล้าครั้งแรกในชีวิตของพวกเธอ

"แล้วกินกันเพียวๆ เลยเนี่ยนะ ไม่มีโซดา น้ำ" ผมถาม
"ก็ไม่รู้ว่ามันต้องกินอย่างไรนี่คะ" อืม...ผมฟังคำตอบแล้วเป็นพวกกินเหล้าไม่เป็นโดยแท้จริง อย่างไม่ต้องสงสัยใจ ผมนึกเสียดายเหล้าขวดเหลี่ยมๆ ที่เด็กพวกนี้ยกขึ้นมาซดกันฮวบๆเหมือนน้ำอัดลม เฮ้อ สงสัยจะขโมยเหล้าพ่อมากิน เหล้าขวดนั้นถ้าเธอซื้อกันเองจะรู้ว่ามันแพงนะแล้วต้องกินแบบสุขุม นุ่มลึก ไม่ใช่ซดกันแบบนั้น(ข้อความนี้ผมไม่ได้พูดออกไปให้พวกนั้นฟังนะ)

แล้วรถถีบก็จอดหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ถูกดัดแปลงเป็นที่ให้นักท่องเที่ยวเช่า พวกเราเดินตามไปติดๆ พี่เพียวอุ่มร่างนั้นขึ้นบ้านพัก เราพบว่าบนบ้านมีพวกเพื่อนๆเธออีกหลายคนที่ไม่ได้ออกไปแอบกินเหล้ากับพวกนี้

เราพูดคุยกับพวกเพื่อนๆของเธอเล็กน้อยตามแบบพี่ชายใจดี เพื่อนเธอยกน้ำมาให้พวกเรากินแก้เหนื่อย แล้วเราก็ขอตัวกลับเพราะเราทิ้งของไว้ที่ชายหาดไม่มีใครเฝ้าไว้ เราขึ้นรถสามล้อถีบคันเดิมนั่นแหละครับ

พอรถห่างออกมาได้จากบ้านพักสักหน่อยหนึ่ง พวกเรายิ้ม ผมคิดว่าทุกคนคงรู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือคน รถมาจอดตรงสุดถนนลงหาด เราเดินกลับเพิง พี่เพียวก็เริ่มพูด

"โอ้ย ไอ้หนึ่งเอ้ย นิ่ม เนื้อตัว...เนื้อตัวนิ่มมาก...กูพึ่งเคยเจอ ผู้หญิงน่ารักเมา ที่เมาได้ขนาดนี้"
"กูรู้กูก็ประคองอยู่กับไบร๊ท์มัน" พี่หนึ่งว่า
"กลิ่นสบู่ยังติดอยู่ที่มือกูเลย" พี่เพียวเอามือมาให้ผมดม แต่ผมได้กลิ่นเหล้ากับอาเจียน
"ไอ้ไบร๊ท์มึง พูดมาตรงๆดีกว่าว่ามึงก็รู้สึกแบบเดียวกับกู ไม่ต้องมาทำตัวเป็นคนดี" พี่เพียวพูดแทงใจดำผม
"นี่แหละผู้หญิงแหละไบร๊ท์" พี่หนึ่งว่าคงหมายถึงผู้หญิงกินเหล้าไม่เป็น เมาง่ายกว่าชายมั้ง
"กูชักเป็นห่วงน้องสาวกูแล้วว่ะ" พี่เพียวว่า พี่หนึ่งเห็นด้วย แต่ผมไม่มีทั้งพี่สาวหรือน้องสาวให้เป็นห่วงผมเลยบอกว่าผมเป็นห่วงหญิงสาวทุกคน

คืนนั้นหลังกินข้าวกล่อง เราเล่นกีต้าร์ร้องเพลงและดื่มเบียร์ที่มีอยู่น้อยนิด ภาพของหญิงวัยรุ่นที่เมาไร้สติยังติดตาพวกเรา ที่จริงไม่ใช่แค่ภาพที่ติดตา มันมีทั้งกลิ่นสบู่ กลิ่นเหล้าและกลิ่นอาเจียนก็ยังติดจมูก รวมถึงสัมผัสในการอุ้มประคองคนที่เมาจนไร้กระดูก เราพูดคุยกันไปก็อดนึกเป็นห่วงหญิงสาวที่อาจถูกมอมเหล้าเนื่องจากไม่รู้จักฤทธิ์เหล้า ความน่าห่วงใยในความเมา รวมถึงการที่ผู้หญิงจะถูกมอมเหล้าแล้วพาไปทำมิดีมิร้าย ผมนึกถึงคุณลุงใจดีที่เจอบนรถไฟ ที่แกบอกว่าแกก็มีลูกหลานที่กำลังเรียนอยู่ คำพูดห่วงใยที่แกเตือนเรา ว่าอย่าประมาทและอย่าทโมนจนเกินไป แล้วผมก็หลับไปตอนไหนไม่รู้

เช้าขึ้นพอแดดเริ่มออกพวกเราก็ตื่น มีนักท่องเที่ยวเริ่มออกมาเดินเล่นพวกเราในเพิงพักนั่งกินลมชมวิวเล่นกีต้าร์ มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมายิ้มให้อย่างอายๆ อายจนไม่กล้าทักพวกเรา แต่อย่างน้อยผมก็เห็นคำขอบคุณในรอยยิ้มอายๆนั้น

ใกล้เที่ยงพวกเราเก็บของ อาบน้ำที่โรงอาบน้ำจืดที่เก็บคนละสิบบาท ผมสวมเสื้อผ้าตัวที่ใส่เมื่อวาน(มันยังไม่ค่อยสกปรกเลยครับ) ไปหาอะไรกิน แล้วมุ่งหน้าไปสถานนีรถไฟ ผมเปลี่ยนใจไม่เข้ากรุงเทพฯ แต่มุ่งกลับนครปฐมกับทุกคน

ต้องยอมรับว่าการเที่ยวทะเลครั้งนี้สิ่งที่มันติดอยู่ในใจไม่ใช่ภาพของทะเล แต่เป็นเหตุการณ์...ในค่ำคืน แปลกมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันไม่น่าประทับใจ แต่ผมจำมันได้ทั้งภาพ...กลิ่น...และคำพูดตักเตือนของลุงใจดีคนนั้น...

-ขอจบแค่นี้ครับ-



RE: Freshmen ความหลังอันหวานชื่นของเด็กปี 1 - karn - 28-11-2007

โชคดีของน้องเค้าครับ ที่เจอผู้ชายดีๆเยี่ยงไบ๊และพี่เพียวพี่หนึ่ง

ผมก็ประสบเหตุเช่นนี้ในผับหลายต่อหลายแห่ง วัยรุ่นหญิงหัดกินเหล้า ตามคำเชียร์ของกลุ่มเพื่อนชาย
แล้วก็เห็นเธอไม่สามารถประคองสติได้ กลุ่มเพื่อนชายของเธอก็ประคองออกไป ได้แต่หวังว่าเธอคงปลอดภัย...


RE: Freshmen ความหลังอันหวานชื่นของเด็กปี 1 - Ether - 30-11-2007

เคยเจอพวก เด็ก ๆ รุ่นน้องๆ เมาในผับ ขนาดที่ว่าไม่มีปัญญาถอดกางเกงฉี่เองด้วยซ้ำ...ต้องช่วยถอดแล้วใส่ให้น้องพวกนี้อยู่ 2 ครั้ง และที่ผับเดิม จน งง กับเพื่อนว่า เรามีเวรมีกรรมอะไรกับเด็กกลุ่มนี้นะเนี้ย....

ตอนไปเขาเต่า ไปแบบมีรถไปส่งแต่ขากลับ กลับกันเองเพราะอยู่กันต่ออีก 5 วัน
มีเงินแค่คนละไม่ถึง 300 ร้อย กินข้าววัด จับปูลมกินกัน ตกปลากิน แต่ก็อยู่กันได้
แบบไม่ต้องใช้เงิน กลับบ้านก็ค่ารถไม่พอ เดินโบกรถกันกว่าจะได้ขึ้นรถ ก็ดึกดื่น
ไปกัน 10 คน ใครจะกล้ารับ จนมีรถจากนราธิวาส จะเข้ากรุงเทพฯ (คนขับหน้าอย่างกะโจร) แต่ไหนไหนก็ไหนไหน ต้องเสี่ยงไม่งั้น ก็ไม่ได้กลับ พี่ท่านขับแบบไม่สนใจว่ามีใครนั่งอยู่ข้างหลัง เหยียบ ไม่ต่ำกว่า 140 เลย นั่งโต้ลมคิ้วกะหูแทบหลุดจากหัว.. แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกดีกับการโบกรถกลับบ้าน...


RE: Freshmen ความหลังอันหวานชื่นของเด็กปี 1 - bright - 30-11-2007

Ether Wrote:เคยเจอพวก เด็ก ๆ รุ่นน้องๆ เมาในผับ ขนาดที่ว่าไม่มีปัญญาถอดกางเกงฉี่เองด้วยซ้ำ...ต้องช่วยถอดแล้วใส่ให้น้องพวกนี้อยู่ 2 ครั้ง และที่ผับเดิม จน งง กับเพื่อนว่า เรามีเวรมีกรรมอะไรกับเด็กกลุ่มนี้นะเนี้ย....

ตอนไปเขาเต่า ไปแบบมีรถไปส่งแต่ขากลับ กลับกันเองเพราะอยู่กันต่ออีก 5 วัน
มีเงินแค่คนละไม่ถึง 300 ร้อย กินข้าววัด จับปูลมกินกัน ตกปลากิน แต่ก็อยู่กันได้
แบบไม่ต้องใช้เงิน กลับบ้านก็ค่ารถไม่พอ เดินโบกรถกันกว่าจะได้ขึ้นรถ ก็ดึกดื่น
ไปกัน 10 คน ใครจะกล้ารับ จนมีรถจากนราธิวาส จะเข้ากรุงเทพฯ (คนขับหน้าอย่างกะโจร) แต่ไหนไหนก็ไหนไหน ต้องเสี่ยงไม่งั้น ก็ไม่ได้กลับ พี่ท่านขับแบบไม่สนใจว่ามีใครนั่งอยู่ข้างหลัง เหยียบ ไม่ต่ำกว่า 140 เลย นั่งโต้ลมคิ้วกะหูแทบหลุดจากหัว.. แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่สนุกดีกับการโบกรถกลับบ้าน...


น้าอีเธอร์ครับ ตามความเห็นส่วนตัวของผม บางครั้งพวกคนขับรถต้องทำหน้าตาให้ดูน่ากลัว เพราะจริงๆเขาก็กลัวพวกที่ขอติดรถจะปล้นเขา เลยต้องทำหน้าตาเป็นอาวุธเข้าไว้

ส่วนเรื่องต้องไปถอดใส่กางเกงให้เขานี่ น่าจะเป็นเรื่องของบุญกรรมแต่ปางก่อนจริงๆครับ เอิ๊ก