"Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - Printable Version +- NimitGuitar webboard (http://www.NimitGuitar.com/mybb) +-- Forum: All solid webboard (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=1) +--- Forum: Guitar gallery (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=3) +---- Forum: Pood's Guitar Gallery (http://www.NimitGuitar.com/mybb/forumdisplay.php?fid=20) +---- Thread: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง (/showthread.php?tid=19109) Pages:
1
2
|
"Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - pood - 21-10-2014 ตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้มานานแล้วแต่ไม่มีเวลาถ่ายรูปและอัดเสียง ตอนนี้เลยขอเล่าเรื่องราวก่อนแล้วกันครับ กีตาร์ตัวบางหรือ thinline นั้นเป็นการพัฒนามาจากกีตาร์ hollow body และ solid body โดยมี timeline ดังต่อไปนี้ "Thinline" นั้นเป็นชื่อที่ Gibson ใช้เรียกกีตาร์ตัวบางซึ่งจะบางกว่า hollow body ปกติไม่ต่ำกว่า 1 นิ้ว กีตาร์ประเภทนี้นอกจากจะกระชับตัวผู้เล่นกว่าทำให้สามารถออกลวดลายบนเวทีใด้เต็มที่แล้วก็ยังมีผลพลอยใด้ตรงที่ feedback ยากกว่าพวกกีตาร์ตัวหนาด้วย ศิลปินคนแรกๆที่ใช้ thinline guitars ก็คือ Chuck Berry ครับ จากรูปข้างบน Thinline guitars นั้นแบ่งใด้เป็นสามประเภทที่ออกมาวางตลาดเกือบพร้อมกันในยุค 1950s ใด้แก่ Hollow Body Thinline Electric Guitars My gallery Chambered Body Thinline Electric Guitar My gallery Semi-Hollow Body Electric Guitars My gallery ยังมีต่อครับ RE: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - วันละเป๊ก - 21-10-2014 สวยสุดๆๆๆๆ RE: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - pood - 22-10-2014 HOLLOW BODY THINLINE ELECTRIC GUITARS ในยุคบุกเบิกของกีตาร์ไฟฟ้านั้นกีตาร์ archtop เป็นกีตาร์ที่นักดนตรีอาชีพมี่เล่นกับวงใช้กันเกือบทุกคนเพราะเสียงมันดังกว่ากีตาร์โปร่ง flattop พอมีการคิดค้น pickup และแอมป์ออกมาขายใด้กีตาร์ไฟฟ้าในยุคก่อนสงครามก็เลยเป็นกีตาร์ archtop ทั้งหมด ส่วนกีตาร์ solid body นั้นเพิ่งมาเกิดในยุคหลังสงครามนี่เองโดยมี Leo Fender เป็นผู้ประสพความสำเร็จเป็นรายแรก กีตาร์ acoustic archtop นั้นมีขนาดใหญ่และหนาเพราะเขาออกแบบมาให้เสียงดังที่สุด เวลาเล่นก็เลยต้องนั่งเก้าอี้เล่นโดยเอียงกีตาร์ใว้กับตัก กีตาร์ไฟฟ้าในยุคแรกนั้นก็เอากีตาร์ archtop มาติด pickup เพิ่มโดยไม่มีการเปลี่ยนขนาดของลำตัวดังนั้นคนเล่นก็ต้องนั่งเล่นท่าเดิมอยู่ดี ตอนแรกๆนั้นก็ไม่ใด้มีใครคิดจะดัดแปลงกีต้าร์ electric archtop ให้มันเล่นใด้สะดวกขึ้นหรอกเพราะสมัยนั้นมือกีตาร์ก็ไมใด้เป็นตัวเด่นของวงอยู่แล้วในวงดนตรีแจ๊ซ พอมาถึงยุคบุกเบิกของดนตรี rock and roll ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันที่มีกีตาร์ไฟฟ้า solid body คือ Fender Telecaster ออกวางตลาด พวกมือกีตาร์รุ่นเก่าก็เลยเพิ่งรู้ว่าเล่นกีตาร์ก็รวยใด้แต่กีตาร์ archtop deep body นั้นมันไม่สะดวกที่จะสะพายเล่น Gibson ในตอนนั้นก็เลยรับไอเดียจากมือกีตาร์สตูดิโอสองคนคือ Billy Byrd และ Hank Garland โดยเอารุ่น L-5CES มาหั่นความหนาจาก 3.5" ลงเลือ 2.25" และตั้งชื่อรุ่นใหม่ว่า "Byrdland" ในปี 1955 นอกจากนี้แล้วยังออกรุ่นประหยัดที่เป็น laminate ทั้งตัวออกวางตลาดพร้อมๆกันคือรุ่น ES-350T ครับ กีตาร์ thinline ในยุคแรกนั้นคงจะขายดีพอสวมควรเพราะ Gibson ก็ทะยอยออกมาอีกหลายรุ่น รุ่นในรูปข้างล่างคือรุ่นที่เลิกผลิตแล้ว ในยุค '60s นั้นความสำเร็จของ Gibson ก็เลยทำให้ Gretsch ลดความหนาของ body ลงมาเกือบทุกรุ่นที่เป็น hollow body ด้วย ส่วน Guild นั้นออกกีตาร์ thinline มาชนกับ Gibson Es-330, 335 แบบเต์มพิกัดโดยมีทั้ง full hollow และ semi-hollow body ในปี 1960 RE: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - nhoy - 25-10-2014 ขอบคุณน้า pood สำหรับเรื่องราวของ "Thinline Story" ซึ่งน่าสนใจและเป็นประโยชน์มากครับ ขอบคุณครับน้า pood RE: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - วันละเป๊ก - 25-10-2014 ขอบคุณครับ RE: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - pood - 27-10-2014 ผมมีกีตาร์ Thinline ที่เป็น full hollow body อยู่ 6 ตัว แบ่งเป็นพวกตัวใหญ่แต่หนาเพียง 2.25-2.50" ที่เสียงเปล่าดังเกือบเท่ากีตาร์ตัวหนาปกติ 3 ตัว กีตาร์กลุ่มนี้ออกแบบมาคล้าย Gibson Byrdland ที่ทำ archtop ตัวใหญ่ (Lower bout = 17") ให้บางลงเพื่อให้เล่นใด้สะดวกขึ้นแต่ไม่มีจุดประสงค์ในการลด feedback ดังนั้นจึงมีสเป็คที่เป็นทั้ง all solid, solid top และ laminated top 1994 Heritage Eagle TDC ตัวนี้อยู่ใน gallery ของ Heritage guitars แล้วครับ http://www.nimitguitar.com/mybb/showthread.php?tid=18748 1998 Gretsch G6196-1955 Country Club ตัวนี้เคยลงรูปแล้วใน Gretsch gallery ครับ http://www.nimitguitar.com/mybb/showthread.php?tid=16666 1994 Guild X-170 Manhattan X-170 เป็นกีตาร์สมัยใหม่ที่ Guild ผลิตที่โรงงาน Westerly จากปี 1988-2001 ครับ มันคือ Thinline version ของรุ่น X-175 ซึ่งอยู่ในไลน์การผลิตมาตั้งแต่ปี 1954 Laminated maple top, back and side, 16 5/8" body width. 2 SD-1 Guild humbucker pickups. 2 1/2" body depth 3-pieces maple neck. ลองฟังเสียงดูครับ Gretsch 6196 Country Club Heritage Eagle TDC RE: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - pood - 29-10-2014 Shallow Hollow Body Guitars ตามธรรมดาแล้วกีตาร์ที่มีความหนาเพียง 1.5"-1.75" มักจะมีโครงสร้างเป็น semi-hollow คือมีแกนไม้ยาวตลอดลำตัวเพื่อลด feedback อย่างเช่น Gibson ES-335 แต่ก็มีอยู่สองยี่ห้อทีทำเป็น full hollow body ออกมาขายก็คือ Gibson (Epiphone) และ Guild กีตาร์กลุ่มนี้น้ำหนักเบามาก (เบากว่าพวก semi-hollow ประมาณ 1.5 กิโล) เล่นเสยงเปล่าก็ดังพอสมควร มีเสียงของไม้จาก body มากกว่าแต่เสียงกลางจะไม่พุ่งเหมือนพวก semi-hollow ครับ ถ้าดูจากรูปข้างบนจะเห็นใด้วา Guild Starfire III มี body volume เยอะกว่าเพื่อนเพราะเป็น single cutaway ส่วน Epiphone นั้นมี body volume น้อยกว่าเพื่อนเพราะมีคอยื่นเข้ามาในลำตัวครับ 2002 Guild Starfire III by Fender Custom Shop เมื่อตอนที่ Fender ตัดสินใจปิดโรงงาน Guild ที่ Westerly, Rhode Island และย้ายการผลิตทั้งหมดมาที่โรงงาน Fender ใน Corona, California ในปี 2001 นั้น Fender ขยายโรงงานเดิมเพื่อเพิ่มไลน์การผลิตกีตาร์โปร่ง ส่วนกีตาร์ไฟฟ้าซึ่งมียอดการผลิตน้อยมากนั้นเขาไม่ใด้เพิ่มไลน์การผลิตแต่เอาไปรวมกับไลน์ของ Fender Custom Shop โดยมี Bob Benedetto เป็นที่ปรึกษาในไลน์ของ archtop ครับ จากปกในของ Fender Frontline 2002 จะเห็นใด้ชัดเจนว่ากีตาร์ไฟฟ้า Guild และ Fender Custom Shop ใช้ไลน์การผลิตเดียวกันครับ ในปี 1960 Guild ออก shallow hollow body มาสองรุ่นคือ Starfire II และ Starfire III ที่มี Bigsby กีตาร้สองรุ่นนี้ก็ขายใด้เรื่อยแต่ไม่ดังเพราะ Guild โปรโมทกีตาร์ไฟฟ้าน้อยมากต่างกับกีตาร์โปร่งที่มีศิลปินดังๆใชกันเยอะมาก ลองฟัง Doyle Dykes เล่น Guild Starfire III ตัวโปรดของเขาครับ ถ้าเอาไปเทียบกับพวก semi-hollow เสียงของ full-hollow มีความเป็น acoustic มากกว่าเยอะครับ กีตาร์ตัวนี้ผมซื้อของใหม่และหิ้วมาจากอเมริกา สภาพยังใหม่เหมือนเดิมเพราะไม่ใด้ใช้งานเลย ตัวนี้เป็น Starfire III ตัวที่ 11 ที่ผลิตโดย Fender ครับ Fender Custom Shop น่าจะเริ่มผลิต Guild Electric ในปี 2002 และเลิกผลิตไปในปี 2003 ตอจากนั้นมาก็ไม่เคยผลิตกีตาร์ไฟฟ้า Guild อีกจนถึงปี 2013 โดยมี Newark Street Series ที่จ้างเกาหลีผลิตและ American Patriarch Series ที่ผลิตที่โรงงาน Ovation ที่เพิ่งปิดไปตอนต้นปี ตอนนี้อนาคตของ Guild ภายใต้เจ้าของใหม่คือ Cordoba จะเป็นอย่างไรก็ยังไม่มีใครทราบครับ ตามปกติ Guild จะสั่งกล่องจาก TKL ในคานาดาแต่พอย้ายมา California ทาง Fender ก็เลยต้องสั่งกล่องพิเศษจาก supplier ของ Fender Custom shop คือบริษัท G&C ครับ ลำตัวหนาประมาณ 1 5/8" Pickups เป็น Guild Humbucker ซึ่ง Guild เริ่มใช้แทน single coil ในยุค '60s กลางๆ มี cutaway จากเฟร็ต 15-18 ป้ายสีขาวหลัง headstock คือ stockm number ที่ทางร้านไม่ใด้แกะออกครับ RE: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - pood - 29-10-2014 2010 Gibson Custom Shop ES-330L ES-330 ออกวางตลาดในปี 1959 หลัง ES-335 หนึ่งปีโดยมีสัดส่วนเหมือนกับ ES-335 แต่มีความแตกต่างดังนี้ 1. ES-330 เป็น hollow body ไม่มีไส้กลาง 2. ES-330 Cutaway ตรง 16th fret แต่ ES-335 ล้วงใด้ลึกกว่าเพราะ cutaway ตรง 19th fret. 3. ES-330 ใช้ single coil pickup (P-90) ES-335 ใช้ humbucker pickup ในยุคแรกนั้นยอดขายของ ES-330 สูงกว่า ES-335 ฮยู่หลายปีจนกระทั่งถึงยุคของ hard rock และกีตาร์เสียงแตก ES-335 ก็เริ่มขายดีและ Es-330 ก็กลายเป็นกีตาร์ที่โลกลืมและเลิกผลิตไปในปี 1972 รุ่น original ก็เสียงประมาณนี้ครับ กีตาร์รุ่นนี้ Gibson ทำ Reissue นานๆครั้งเพราะมันไม่ใช่กีตาร์สะสมและไม่เคยมีศิลปินระดับโลกใช้ประจำ ในปี 2009 Gibson ก็ลองตลาดอีกครั้งโดยออกรุ่น ES-330 Long Neck ซึ่งสามารถใช้ mold ของ ES-335 ใด้เพราะมี cutaway ที่ 19th fret ซึ่งเคยเป็น option ของ ES-330 ตั้งแต่ปี 1968 ( ตอนนั้น Gibson ยังไม่มี mold ของ original ES-330 ) ES-330L กลับขายดีจนผลิตไม่ทันเพราะเสียงที่หวานและอุ่นของมันกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในตอนนี้ที่ไม่มีใครเล่น hard rock กันแล้ว ในปี 2012 Gibson ก็เลยยอมลงทุนสร้าง mold ใหม่และผลิตรุ่น 1959 ES-330 VOS ออกมาขายอีกรุ่นหนึ่ง Music Concept ไม่ใด้เอารุ่นแรกมาขายแต่รุ่นสองนี่สั่งมาใด้กี่ตัวก็มีคนจองหมด ราคาข้าล่างเป็นราคาในเว็บของผู้นำเข้าอิสสระซึ่งแพงกว่าราคาตัวแทนเกือบสามหมื่นบาทครับ กีตาร์รุ่นนี้ผมมีมาแล้วหลายตัวแต่โดนสอยหมด ตอนนีเหลืออยู่ตัวเดียวครับ เสียงคลีนปิคอัพหน้าผ่านแอมป์ Fender Deluxe VM RE: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - pood - 30-10-2014 2010 Epiphone Casino 1965 Elitist กีตาร์ประเภท hollow body thinline นั้นถึงจะขายใด้เรือยๆแต่ก็ไม่โด่งดังเหมือนพวก semi-hollow ที่มีคนใช้เยอะกว่าเนื่องจากมันไม่ค่อยหอน มีข้อยกเว้นอยู่รุ่นเดียวที่ดังมากจนกลายเป็นตำนานก็คือ Epiphone Casino ครับ เรื่องราวของดนตรีร้อคในยุคนั้นเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากในเวลาเพียงสิบปีซึ่งผมจะเล่าให้ฟังเพราะผมเองก็อยู่ในเหตุการณ์ 1956-1962 กำเนิดของกีตาร์ไฟฟ้ากับดนตรีร้อค ดนตรีร้อคที่ใช้กีตาร์ไฟฟ้าล้วนๆนั้นเริ่มมาจากวงที่เล่นเพลงบรรเลงเป็นหลักอย่างเช่น The Ventures และ The Shadows ซึ่งใช้เครื่องดนตรี 4 ชิ้นคือกีตาร์โซโล่ กีตาร์คอร์ด กีตาร์เบสและกลอง สมัยนั้นคนไทยเรียกวงประเภทนี้ว่าวงชาโดว์หมดไม่วาจะเล่นเพลงประเภทไหน ตอนผมเด็กๆก็มีวงชาโดว์ไทยที่ดังอยู่หลายวงอย่างเช่นวงซิลเวอร์แซนด์และวงหลุยส์กีตาร์บลูส์เป็นต้น สมัยนั้นวงชาโดว์หรือคนที่เล่นกีตาร์ให้ศิลปินร้อคดังๆก็มักใช้ solid body guitars กันหมด รวมถึงพวก surf music อย่างวง The Beachboys ด้วย 1963-1964 The British Invation ในยุคต้นๆของทศวรรษ '60 นั้นกีตาร์อีกประเภทคือพวก hollow body และ chambered body ก็เริ่มใด้รับความนิยมเพราะพวกวงจากอังกฤษที่เล่นดนตรีสไตล์แปลกใหม่กำลังใด้รับความนิยมไปทั่วโลก อย่างสมัยผมเด็กๆตอนนั้นใครที่ฟังเอลวิสกับคลิฟนี่คบไม่ใด้เลยครับเพราะวัยรุ่นชาวร้อคเขาเลือกฟังเพลงจากวงอังกฤษอย่างเช่น The Beatles, The Rolling Stones, The Kinks, The Animals ๆลๆ ถึงแม้ตอนแรกจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม (ผมจำใด้ว่าผมซื้อแผ่นเสียงแผ่นแรกของ The Rolling Stones มาฟังเป็นอาทิตย์กว่าจะฟังรู้เรื่อง) กีตาร์ที่วงอังกฤษนิยมใช้ตอนนั้นก็คือพวก hollow body thinline ของ Gretsch และ chambered body ของ Rickenbacker ครับ 1964-1967 The Birth of Hard Rock: Epiphone Casino Era ความจริงแล้วกีตาร์ hollow body ในยุคนั้นก็มี Gibson ES-330 และ ES-335 แต่ทำไมศิลปินอังกฤษถึงใด้เลือกใช้กันแต่ Casino ผมก็ไม่ทราบ จะว่าไม่มีสตางค์ซื้อ Gibson ก็คงไม่ใช่เพราะตอนนั้นก็ดังระเบิดแล้วเกือบทุกวง Casino นั้นไม่ใด้โด่งดังเพราะเสียงสะอาดสดไสนะครับ เพลงทีติดอันดับ 1 ในปี 1964 นั้น Dave Davies ทำเสียงแตกโดยการเอาใบมีดโกนไปกรีดดอกลำโพงครับ ส่วน Keith Richards นั้นใช้ Gibson Maestro Fuzz Tone กับ Caino ของเขาในเพลง (I Can't Get No) Satisfaction ในปี 1965 ครับ ส่วนวง The Beatles นั้น Paul ซื้อ Casino มาในปี 1964 และใช้ในห้องอัดอยู่หลายเพลงอย่างเช่นเพลง "Drive My Car" ต่อมา John กับ George ก็ซื้อตามในปี 1965 ครับ เดี๋ยวมาต่อครับ RE: "Thinline Story" เรื่องราวของกีตาร์ตัวบาง - Naris - 30-10-2014 ชอบ The animals ครับ |