(22-11-2011, 14:01)Olanla Wrote: ตอนพี่น้ำมนต์เสีย ผมก็คิดว่าชีวิตก็เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน อะไรจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ คนที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวก็มีเยอะแยะ ถ้ามันจะเป็นเรา ก็คงไม่แปลกอะไร
แล้วผมก็ถามตัวเองว่า ถ้าเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบพี่น้ำมนต์จะเป็นยังไง?
เมื่อรู้ว่าตัวเองมีโอกาสที่จะอยู่ได้ไม่นานแล้ว นอกจากเรื่องความตาย เรื่องครอบครัว และอื่นๆที่คนอื่นเค้าเครียดกัน
ผม(นักเรียนทุนรัฐบาลไทย)คงถามตัวเองว่า แล้วเรามาเรียนเมืองนอกเพื่ออะไร?
ใช้เงินภาษีประชาชนไปตั้งมากมาย แต่ไม่สามารถกลับไปทำประโยชน์ให้แผ่นดินได้
ที่สำคัญ ระยะเวลากว่า 10 ปีที่เราตั้งหน้าตั้งตาเรียนจน(จะ)จบปริญญาเอกนั้น เพื่ออะไร?
มีสิ่งอื่นๆอีกตั้งหลายอย่างที่สามารถทำได้และอยากจะทำในระยะเวลา 10 ปีนั้น
ครอบครัวก็ไม่ค่อยได้อยู่ด้วย ชีวิตก็เหนื่อยและชีเรียสใช่ย่อย
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งเราเลือกไม่ได้ และไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น
แต่มันก็คงอดคิดไม่ได้จริงๆว่าจริงๆแล้วคำตอบของคำถามเหล่านั้น และหนทางที่ควรเลือกเดินหลังจากนั้นคืออะไร
หลายๆคนก็คงพูดว่า ทำวันที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด แต่คำว่าดีที่สุดนั้นคืออะไร
ควรจะทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ให้ประสบผลสำเร็จ ให้คนจดจำแบบพี่น้ำมนต์? หรือควรจะหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุด?
จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าคำตอบคืออะไร บางทีอาจจะต้องไปอยู่ในสถานะการณ์นั้นจริงๆ ถึงจะรู้คำตอบละมั้ง (แต่หวังว่าคงจะไม่ได้เจอสถานการณ์นั้นกับตัวนะครับ - -" )
แล้วน้าๆมีความคิดเห็นยังไงบ้างครับ
คิดว่าอยากทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองและคนในครอบครัวมีความสุขบ่อยๆ
ผมเชื่อว่า ชีวิต...ไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จก็มีความสุขได้
และความสำเร็จก็ไม่ได้รับประกันว่าจะมีความสุข
อะไรคือความสำเร็จ? ของใคร? เท่าไร? แค่ไหน?
ชีวิต(อย่างไทยๆ)แบบเรามักถูกสอนให้อยู่ในกรอบตั้งแต่เด็ก การใช้ชีวิตเต็มไปด้วยรูปแบบต่างๆ ที่ถูกกำหนดขึ้น ไม่ว่าจากคนในครอบครัวหรือสังคม
กว่าจะเข้าใจอย่างถ่องแท้เรื่องวิถีชีวิต ความไม่แน่นอนหรือความแน่นอนในเรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องผ่านประสบการณ์มาพอสมควร
หรือถึงวัยที่มีโอกาสจะได้ตัวสินชีวิตตัวเอง...ด้วยตัวเองนั่นแหละ
บางทีกว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าพอใจอะไร หรือชอบทำอะไรก็โน่น...ใกล้เกษียณ
ยกตัวอย่าง...
ผมเป็นเด็กบ้านนอก(ปริมณฑล) ถึงจะเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ
แต่ไม่เคยห่างบ้านนอกเลย และตอนนี้ก็ยังอยู่บ้านนอก
ทุกวันนี้ผมเสียดายเวลาไปกว่ายี่สิบปีในที่ทำงาน ยังแอบอิจฉาคนที่นี่หลายคนหลายครอบครัว ที่มีความสุขกันอย่างล้นเหลือ
คนเหล่านี้จัดว่ายากจน หาเช้ากินค่ำ แหกปากร้องเพลงได้ทุกวัน มีเรื่องตลก ขำขัน เฮฮา มาเล่ากันได้ตลอด เมามันทุกคืนชนิดไม่กลัวตาย
เคยถามเรื่องตายก็ได้คำตอบว่า"คุ้มแล้วที่เกิดมา"
คุ้มมั๊ยที่เกิดมา? เค้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก
ชีวิตมันไม่มีอะไรให้คุ้มหรอกครับ เพราะเราไม่รู้ว่าได้ไปลงทุนอะไรไว้ในชาติก่อน
เกิดมา ดำรงอยู่ แล้วก็ดับไป ก็แค่นั้น
มันอยู่ที่ความ "พอใจ"กับชีวิต
เค้าพอใจ(แล้ว)กับชีวิต(ของเค้า)ต่างหากครับ
เราล่ะ? คุณล่ะ? พอใจอะไรแบบไหน? มีโอกาสได้ทำหรือยัง?
หาเจอหรือเปล่า?
========================================
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว ตันติวิวัฒน์ ด้วยครับ
========================================