คนเราทุกคนล้วนแล้วแต่ ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดเปลี่ยนร่าง ไปเรื่อยๆ มานับชาติไม่ถ้วนครับ แม้แต่พระพุทธองค์เอง ช่วงขณะที่ท่านเจริญความเพียรปฏิบัติเพื่อแสวงหาหนทางหลุดพ้น ท่านได้สำเร็จญาณๆ หนึ่ง ภาษาทางธรรมเรียกว่าบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ การระลึกชาติตนเองได้ ท่านได้รู้ชัดแจ้งแทงตลอดถึงการเวียนว่ายตายเกิดของตัวท่านเอง ว่าได้เคยเกิด เป็นมนุษย์ ทั้งคนรวย คนธรรมดา นักพรต เป็นฤๅษี ฯลฯ ได้เคยเกิดเป็นสัตว์ต่างๆ มากมาย ทั้งพญาลิง เป็นปลา เป็นนก เป็นกวาง เป็นงู ฯลฯ เยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งท่านเองก็ได้บำเพ็ญมาเรื่อยๆ ข้ามภพข้ามชาติ และท่านได้สั่งสมปณิธาณจิตอันยิ่งใหญ่ที่จะมาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า สุดท้ายเมื่อท่านสั่งสมบุญบารมีทุกอย่างสุกงอมถึงพร้อมท่านก็มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีลักษณะของมหาบุรุษ 32 ประการ คือ เป็นที่สุดของรูปกายมนุษย์ และท่านยังมีทุกอย่างเพรียบพร้อม ทั้งรูป ทรัพย์ สติปัญญา ภายหลังได้เห็นเทวทูตทั้ง4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ท่านจึงได้ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่างทางโลกเข้าสู่หนทางแห่งธรรม จริงๆ ถ้าได้ศึกษาพุทธประวัติของท่าน ก็จะทราบว่าลูกศิษย์ของต่างก็เคยพบเจอกันมาหลายภพหลายชาติมาก่อนแล้วเช่นกัน ทั้งชาติที่เป็นคน และชาติที่เป็นสัตว์...
นี่ก็เป็นสิ่งยืนยันอย่างหนึ่งว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ยังมีหลักฐานยืนยันเรื่องนี้อีกมากมายครับ .....เช่นเรื่องนี้
หมูมือมนุษย์
เมื่อปีหมินกว๋อที่ 20 ณ เจียงเป่ยมีชายเสเพลคนหนึ่ง ชื่อว่า ซือชิ่งจง ชายคนนี้กระทำแต่เรื่องชั่วร้าย ไม่ได้ทำงานทำการอะไร อีกทั้งเขาเป็นคนที่มีนิสัยโหดร้าย ชอบสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน ทำให้ทุกคนต่างเอือมระอา ไม่มีใครอยากคบหาสมาคมด้วย
ปีนี้ ซือชิ่งจงเกิดป่วยหนัก ขณะนั้น มีพระธุดงภ์เดินทางผ่านมา เห็นซื่อชิ่งจงนอนซมอยู่ จึงเดินเข้าไปข้างเตียงกล่าวกับเขาว่า
?ปกติ เจ้าชอบทำแต่ความชั่ว เวรกรรมตามมาทันแล้ว ถึงแม้ว่าจะหมดชาตินี้ไปแล้วเวรกรรมที่กระทำลงไปก็หาได้หมดลงไปด้วยไม่ ภายหลังที่เจ้าเสียชีวิตแล้วเจ้าจะเกิดเป็นหมูในชาติหน้า?
ขณะนั้น ซือชิ่งจงป่วยหนักมาก เขารู้ตัวเองว่าไม่รอดชีวิตแน่ๆ แล้ว เมื่อได้ยินพระพูดเช่นนั้น ในใจก็กลัวเวรกรรม ถึงแม้ว่าจะสำนึกผิดต่อกรรมชั่วที่ได้กระทำลงไป แต่ก็สายเกินไปแล้ว เมื่อรู้ว่าชาติหน้าจะกลายเป็นหมู เขาจึงยกแขนซ้ายมาวางไว้บนอก เพื่อจะไหว้พระ พระซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่า "น่าเสียดาย น่าเสียดาย เจ้าใช้มือเดียวไหว้พระ เจ้าก็หาได้หลีกพ้นจากการเกิดเป็นหมูไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น มือซ้ายของเจ้าก็สามารถหลุดพ้นจากการเกิดเป็นหมูได้ และเจ้าจะไม่ต้องถูกฆ่ากินเหมือนหมูทั่วๆ ไป?
หลังจากนั้นหลายวัน อาการป่วยของซือชิ่งจงก็ทรุดหนักขึ้น จนในที่สุดก็สิ้นชีวิตลง ชาวบ้านทั้งหลาย ไม่ได้เสียใจต่อการเสียชีวิตของคนชั่วเช่นนี้ แต่กลับดีใจต่างหาก นานวันเข้าทุกคนต่างลืมเรื่องราวของเขา แน่นอน คำพูดของพระ ก็ไม่มีใครจำมันไว้ในใจ
ภายหลังที่ซือชิ่งจงเสียชีวิตไป ได้ 7 วัน เพื่อนบ้านของเขาเลี้ยงแม่หมูไว้ตัวหนึ่ง ได้คลอด "ลูกหมูประหลาด" ออกมา ขาซ้ายหน้าของหมูตัวนี้ มีลักษณะเหมือนกับมือซ้ายของคนอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงแต่มีนิ้วครบทั้ง 5 นิ้ว ขนาดใหญ่โตสั้นยาวก็เหมือนกับมือของคน อีกทั้งยังมีเล็บครบทั้ง 5 นิ้ว เมื่อเพื่อนบ้านทั้งหลายมาดูหมูประหลาดตัวนี้ ก็คิดถึงคำพูดของพระที่กล่าวไว้ว่า "เจ้าใช้มือเดียวไหว้พระ เจ้าก็หาได้หลีกพ้นจากการเกิดเป็นหมูไม่ แต่ว่า ------ มือซ้ายของเจ้าก็สามารถหลุดพ้นจากการเกิดเป็นหมูได้......? ดังนั้นข่าวการกลับชาติมาเกิดของซือชิ่งจงแพร่กระจายออกไปทั่ว ชาวบ้านทั้งหลาย นำเรื่องนี้มาพูดคุยกัน คนเฒ่าคนแก่นำเรื่องนี้มาสั่งสอนลูกหลาน อย่าให้พวกเขากระทำชั่วเด็ดขาด เพราะว่าเรื่องของซือชิ่งจงเป็นเรื่องสอนใจได้ดีทีเดียว
ภายหลังที่ แม่หมูให้กำเนิดลูกหมูประหลาดออก แล้วข่าวนี้รู้ถึงหูของญาติพี่น้องของซือชิ่งจง เพื่อไม่ให้หมูประหลาดตัวนี้ถูกฆ่ากินเนื้อ ญาติของซือชิ่งจงจึงต้องซื้อหมูตัวนี้ด้วยราคาที่แพงมาก หลังจากนั้นก็ส่งหมูตัวนี้ไปเลี้ยงที่วัดเป่าหัวซื่อที่เซี่ยงไฮ้ และก็แปลกมาก ทุกครั้งที่มีคนมาดู หมูตัวนี้ก็จะหาที่แอบซ่อนตัว ราวกับว่าอายที่จะเจอหน้าใครๆ เรื่องราวนี้ ผู้คนต่างเชื่อว่าหมูประหลาดตัวนี้ชาติก่อนต้องเป็นซือชิ่งจงอย่างแน่นอน
.................................................................................................................
นี่ก็เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งจากหลายๆ ตัวอย่างครับ
ถ้าเราตระหนักเรื่องนี้ เราควรจะมีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ ไม่ทำร้าย เบียดเบียน และที่สุดแล้วควรจะงดรับประทานเนื้อสัตว์เลยครับ เพราะเนื้อที่เรากินเข้าไปนั้นล้วนแต่เคยเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง มิตร สหาย เรามาแน่ๆ ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่งครับ
ชาวพุทธ ลองหาพระสูตรที่ชื่อว่า ลังกาวตารสูตร มาศึกษาดูนะครับ พระสูตรนี้กล่าวไว้เกี่ยวกับการที่เราไม่ควรทานเนื้อสัตว์เพราะอะไร
มนุษย์โดยธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นชาติใด ศาสนาใด ล้วนแต่มีจิตที่สว่างไสวหรือ โพธิจิต เหมือนกัน ครับ อยู่ที่ใครจะทำลายหมอกที่มาบังโพธิจิตที่เราได้สร้างไว้กับตัวเราเองได้ก่อน ผู้นั้นก็ย่อมพ้นทุกข์ก่อนครับ
แบ่งปันกันอ่านครับ
บทความ"ไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วเราจะตายหรือไม่" ตัดมาบางส่วนเพราะถ้านำมาทั้งหมดจะยาวมาก เนื่องจากเป็นการถอดจากคำเทศนา
โดย ธรรมสาทโร ภิกขุ เทศนาออกอากาศ วิทยุชุมชนเทพนิมิตมงคล 98.25 Mhz
วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2551 และ วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2551
..."อาตมาอาจจะมีความโชคดีเล็กน้อย คือ ได้มีโอกาสเห็นสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับการเกิด เจ็บ ตาย และได้มีโอกาส ศึกษาธรรมมาบ้างพอควร สองสิ่งนี้ เมื่อมารวมกัน ก็จะเกิดเป็นปัญญา ให้ฉุกคิด ทำให้เราคิดที่จะลงมือทำ ให้รู้จักสร้างเหตุ อุดรูรั่วต่างๆให้หมด ให้รู้จักตัวตนจริงๆของตัวเอง ให้รู้จักสภาวธรรมจริงแท้ ให้รู้จักพุทธจิตธรรมญาณเดิมของตัวเองว่าเป็นเช่นไร ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเป็นเกราะป้องกันภัย ให้กับตัวเอง ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ..ขอพูดถึงพุทธจิตธรรมญาณสักหน่อย จริงๆ แล้วแต่เดิมนานมาแล้วไม่รู้ว่ากี่หมื่นกี่แสนปี ก่อนที่เราจะได้มาจุติเป็นมนุษย์ เรามีดวงจิตเดิมแท้ ซึ่งมาจากที่เดียวกันเป็นดินแดนที่สุขสงบ เป็นดวงจิตที่บริสุทธิ์ใสสะอาดดุจเพชรที่เจียระไนและขัดถูอย่างประณีต แต่เมื่อมาจุติเป็นมนุษย์แล้ว นานวันนานปีเข้าก็ถูกกระแสแห่งกิเลส มี ความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นพลังร้าย สิ่งเหล่านี้ทำให้ดวงจิตมัวหมองลง และยิ่งถ้าไม่มีโอกาสพบเจอพุทธศาสนา ขาดการขัดเกลา เมื่อมันเกาะกับดวงจิตแน่นเข้าๆ ดวงจิตเหล่านั้นก็มัวหมองลงไปเรื่อยๆ แสงสว่างแห่งปัญญาก็หมดลงตามไปด้วย เมื่อหมดปัญญาก็ไม่รู้จักการสร้างบุญ เมื่อไม่รู้วิธีก็ไม่สามารถที่จะกลับขึ้นไปจุติยังภพภูมิของตัวเองที่เคย อยู่มาแต่เดิม และด้วยแรงกรรมที่ได้ทำไว้ ก็ได้ไปจุติเป็นสิ่งต่างๆ ตามที่กรรมกำหนด ถ้าทำกรรมไว้มากๆ ก็ไม่รู้จักกี่ชาติจึงจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีก และก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสได้พบกับกระแสธรรมของพุทธองค์หรือไม่ เมื่อหมดบุญก็จะต้องกลับไปเวียนวนอยู่อย่างนั้นต่อไป ....
.............................................................................................................
ว่ากันต่อ เหตุผลสุดฮิตเลยที่ทำให้คนเราไม่หยุดกินเนื้อสัตว์ เพราะว่า คนเราถือว่าสัตว์เป็นอาหาร แทบทุกคนยอมรับในสภาพที่เป็นจริงของโลกนี้ว่า ต้องมีการกิน อยู่ หลับนอน สืบพันธุ์ สัตว์ก็คือ อาหารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เป็นอาหารที่ธรรมชาติมอบเอาไว้ให้เค้ากินนี่หว่า เค้าก็กินมันน่ะซิ ถ้าไม่ได้กินเนื้อสัตว์จะไม่มีแรงทำงาน หิวง่าย ต้องกินข้าวบ่อยๆ กลัวจะเป็นลม สารพัด แต่ประเด็นหลักๆ เลยก็คือ ?กลัว? กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวที่จะเป็นคนดี กลัวที่จะทำความดี กลัวที่จะยืนอยู่บนความถูกต้องของความเป็นมนุษย์ กลัวที่จะถูกสภาวธรรมจริงแท้เข้าปกครอง กลัวการสำนึกในสิ่งที่ทำผิด ที่ผ่านมา อาตมาไม่อยากจะว่านะ แม้แต่สัตว์ต่างๆ ยังรู้จักที่จะทำตามสภาวธรรมของตัวเองเลย ทำตามกรอบตามขอบเขตของมัน มันรู้ว่ามันควรจะกินอะไร หรือไม่ควรกินอะไร ไม่ต้องให้มีใครคอยบอกคอยสอน...........
..........................................................................................................
มองในแง่ของบุญบาปกันก่อนนะ เมื่อเราได้ลงมือฆ่าถือว่าเราเป็นผู้ทำบาปอย่างแน่นอนถูกต้องมั้ย?? สิ่งนี้ทุกคนยอมรับ พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญไว้เป็นอันดับ1เลย ทั้งนี้ก็ด้วยความเมตตาอย่างหาประมาณมิได้ และด้วยพระปัญญาที่เฉียบคมแยบคาย ทรงกำหนดศีลขั้นน้อยสุดแค่ 5 ข้อ แต่ครอบคลุมได้ทั้งจักรวาลเลย คิดตามให้ดีๆนะ ถ้าโลกนี้ทั้งโลกนับถือศาสนาพุทธ ทุกคนปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แค่ข้อที่ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ เมื่อไม่มีซึ่งการฆ่าสัตว์ มนุษย์จะได้มีโอกาสกินสัตว์มั้ย?? เอ้า!! ตอบดังๆ ในใจ แล้วที่โยมกินกันอยู่ทุกวันนี้มันถูกหรือมันผิด ตอบ? แล้วเรายอมรับด้วยใช่หรือไม่ว่าทำบาปกรรมไปแล้วจะต้องตกนรก ไปเกิดเป็นโน่นนี่ ไปเกิดเป็นสัตว์ก็เยอะ แล้วเรารู้มั้ยว่า พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตายาย เราที่ตายไปแล้ว จะไปเกิดเป็นอะไร มีใครสามารถรับประกันได้มั้ยว่าเค้าเหล่านั้นทำบุญมาเพียงพอ ไม่ต้องมาเกิดอีก ด้วยแรงกรรมผลักดันจิตไปเกิดเป็นสิ่งต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วน สัตว์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้วโยมคิดว่าในชีวิตนี้ ที่เกิดมาไม่รู้จักกี่ปี กินไปรู้จักกี่ตัวเข้าไปแล้ว คิดคิดหรือว่าโยมจะไม่เคยกิน พ่อ แม่ ญาติ พี่ น้อง ปู่ ย่า ตายาย เป็นบาปหนักหรือไม่ แล้วเค้าจะเสียใจมั้ย..??
.............................................................................................................
แม้ไม่ได้ฆ่าเอง แต่การกิน การซื้อ ก็เหมือนการสั่งจ้างเค้าฆ่า....
โยมซื้อเนื้อสัตว์จากพ่อค้ามากินก็บาป แต่โยมยังจะเถียงอีก ?ฮ่วย!! ครูบาพูดบ่เข้าใจ๋ บ่บาปแน่นอนข้าน้อย ฉันไม่ได้ไปสั่งให้ฆ่าไก่นะครูบา มันตายรอให้คนมาซื้ออยู่แล้ว มันจะบาปยังไง ตังก็ต้องเสียยังจะบาปอีกหรอ ไม่ได้ไปขโมยไก่เค้ามากินนะ ก็ต้องปลอดภัยจากบาป ไม่บาปแน่ๆ ยืนยันฟันธง!!เลยข้าน้อยบ่ผิด บ่บาป!!? แต่อาตมาก็ยังว่าบาปอยู่ดี บาปเพราะโยมเป็นตัวการทำให้เกิดการฆ่า เข้าใจบ่ (ยังทำหน้างงอยู่อีก) ถ้ายังไม่เข้าใจอีกจะอธิบายเพิ่ม อาตมาจะโยง ให้เห็นถึงวัฎจักรและสาเหตุที่สัตว์มันต้องถูกฆ่าให้ดู ในหลักการของพ่อค้าเมื่อจะหาสินค้าซักอย่างนึงมาขาย ต้องทำยังไงบ้างโยมคิดซิ ?.ให้เวลาคิด 1 นาที ไม่รอหรอก เฉลย
1. ต้องดูความต้องการของตลาด
2. ดูแหล่งวัตถุดิบ
3. ดูความคุ้มค่าในการผลิต
ถ้าเค้าผลิตออกมาแล้วไม่มีคนกิน ก็แย่นะ เจ้งแน่ ยกตัวอย่างไก่ย่าง 5 ดาว ขายดีเชียวในเมืองหลวง ตอนนี้ล่าสุดทำไก่จ้อออกมาอีก เป็นเพราะเค้าทำการตลาดถูกทาง คือมีการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ มีการวางจุดขาย กระจายอยู่ทั่วประเทศ รูปแบบร้านและสินค้า ดูแล้วน่าสนใจ น่ากิน มีความอร่อยด้วย คนถึงได้กินอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลากว่า 20 ปีนะ นี่แหละคือวัฎจักร เมื่อมีคนกินไก่ มันก็มีการฆ่าไก่ ยิ่งกินไก่กันมาก ไก่ก็จะถูกฆ่ามาก เมื่อต้องฆ่าไก่มากๆ ก็ต้องทำเป็นระบบ ก็ต้องทำเป็นโรงเลี้ยงไก่เอง ทำเป็นโรงงานฆ่าไก่ และแปรรูปไก่เอง ทำเป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ คราวนี้ก็กระจายจุดขายสินค้าให้ทั่วถึง ทั่วทั้งประเทศ และยังผลิตเผื่อออกไปทั่วโลกอีก ถ้ายังผลิตไม่ทันขายอีกต้องใช้สารเร่งให้ไก่โตเร็วๆ จะได้ขายได้ทัน เมื่อไก่ถูกเร่งให้โตเร็วๆ ซึ่งเป็นการโตแบบผิดปกติ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ภูมิต้านทานในตัวไก่ก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนไก่เป็นโรคต่างๆ มากมาย มีไข้หวัดนกเป็นต้น ทีนี้ก็ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคไก่สารพัดมากมาย คราวนี้คนที่กินเข้าไปได้รับผลโดยตรงเป็น 3 เท่าเลย คือ 1. สารเร่งให้สัตว์โตเร็วๆ 2. วัคซีนตกค้างต่างๆ 3. และสารพิษที่สัตว์หลั่งไว้ก่อนตาย มองเห็นภาพมั้ย
ถ้ามีคนจำนวนหนึ่งที่รักษาศีลของพุทธองค์ได้อย่างเยี่ยมยอด เชื่อในคำสอนของพุทธองค์และพยายามที่จะสร้างบุญ โดยพยายามหยุด วัฎจักรการฆ่า ด้วยการที่ไม่กิน ไม่สนับสนุนสินค้าที่ทำจากหนังสัตว์ฯลฯ สัตว์เหล่านั้นก็จะตายน้อยลง ที่จะต้องเป็นเช่นนั้นเพราะพ่อค้าทำสินค้าออกมา แล้วขายไม่ได้ มันก็เหลือ ของสดเก็บไว้นานก็บูดเสีย เค้าก็จะต้องลดปริมาณการผลิตลง ยิ่งมีคนแบบนี้มากขึ้นๆ จนไม่มีคนบริโภคไก่ เค้าก็ต้องหยุดการผลิตไก่ หยุดการฆ่าไก่ นั่นเอง.......
...............................................................................................................
กับการที่โยมกินเนื้อสัตว์เพียงตัวเดียว โยมรักษาศีลได้ไม่ครบแล้วนะรู้ตัวมั้ย และไม่ได้ผิดธรรมดา ผิดรวดเดียว 4 ข้อเลย ทำหน้างงอีก เอ้า!!อธิบายให้ฟังต่อ เราถือเอาวิสาสะคิดว่าสัตว์เหล่านั้นกินได้ เหล่านี้กินได้ เราแย่งชิงมาโดยที่เจ้าของเค้าไม่ได้ให้ เราไม่ได้เอาเปล่าเราเอาทั้งตัวเค้า เอาทั้งชีวิตของเค้ามาเลย แล้วเคยมีมั้ยที่สัตว์มันจะบอกว่า ?เอาไปเลยลูกพี่ เอาชีวิต เอาเนื้อผม เอาเลือดผม ไปทำอาหารให้อร่อยเหาะไปเล้ย!! เอ้าถ้ายังไม่พอกิน เอาลูกผม เมียผม ไปกินด้วยเลย เพื่อลูกพี่ผมเต็มใจถวายชีวิตนี้ให้ครับ? แบบนี้มีมั้ย?? หรือสัตว์มันเห็นโยมถือมีดกับเขียง มันก็รีบวิ่งเอาคอมานอนรอบนเขียงบอก ?ลูกพี่รีบๆ สับคอผมเลยเร็วๆ ผมเมื่อยแล้วนะ? มีมั้ย?? มีแต่มันจะวิ่งหนี มันร้องขอชีวิตมันพูดเป็นภาษามนุษย์ไม่ได้ มันก็ร้องเป็นเสียงสัตว์แต่เราฟังไม่เข้าใจ แต่มีผู้รู้แปลออกมามีเนื้อหาใจความเดียวกันคือ ?ไว้ชีวิตฉันเถอะ อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันต้องมีภาระเลี้ยงลูก เลี้ยงเมีย/เลี้ยงผัว อย่ากินฉันเลยนะ ขอร้องล่ะ? ถึงตรงนี้ โยมรู้ตัวรึยังว่าผิดศีลข้ออะไรบ้าง
1. ขโมยชีวิต ฆ่าสัตว์ + ลักทรัพย์ เอาชีวิตเค้ามาโดยที่เค้าไม่ยินดีที่จะให้
2. โยมทำลายชีวิตครอบครัวเค้าให้พินาศแตกแยก อาจจะขาดพ่อ ขาดแม่ ขาดลูก ไม่ต่างอะไรกับ การประพฤติผิดในกาม ซึ่งท้ายที่สุดก็ทำให้ครอบครัวต้องแตกแยกเช่นกัน
3. โยม พูดโกหก ปากบอกว่าถือศีลๆ แต่จริงๆแล้วยังไม่ได้ถือแบบนี้เข้าข่าย ?มือถือมีด ปากถือศีล?
.........................................................................................................
จริงๆ แล้วการละเว้นเนื้อสัตว์ไม่ถือว่าจะได้บุญนะโยม แต่สิ่งที่ได้จะเป็นการหยุดการสะสมบาปกรรมที่จะพอกพูนขึ้นมาใหม่ และทำให้เราสร้างบุญใหม่เพื่อที่จะไปใช้หนี้กรรมเก่าให้กับเจ้ากรรมนายเวร ทั้งหลายได้เร็วขึ้น การละเว้นเนื้อสัตว์เป็นการปิดตายประตูบาป ปิดรูรั่วของถังบุญโยมเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าคนที่กินเจ กินมังสวิรัติจะได้บุญมากมายเพิ่มเป็นทวีคูณ เลิศหรูกว่าคนที่ไม่ได้กิน กินแล้ววิเศษจนแทบจะเหาะได้ กินแล้วก็ทะนงตัวว่าข้าทำได้ เอ็งทำไม่ได้ข้าย่อมเหนือกว่าเอ็งฮ่ะฮ่ะฮ่ะ ไม่ใช่เลย อย่าไปคิดอย่างนั้นนะ คนเค้าจะเกลียดเอานะ แค่นี้คนที่กินเนื้อสัตว์เค้าก็มองเราว่าเราเป็นตัวประหลาดแล้ว ไรว่ะของดีๆ มีไม่กินบ้าป่าว?? ตอนอาตมาฉันช่วงแรกๆ อยู่ด้วยกันกับโยมเพื่อนก็ชอบแกล้งเอาเนื้อสารพัด ตักใส่ช้อนแล้วร่อนผ่านหน้า ผ่านไปผ่านมา เอามั้ยๆ ไม่อยากกินหรอ อร่อยน้าาาาา พูดล้อต่างๆ ก็ใจมันไม่อยากกินจะบังคับให้กินก็ไม่ได้นี่ เราก็ได้แค่ยิ้มตอบ ได้แค่หัวเราะตอบ ไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายเมื่อเค้าได้เรียนรู้อะไรดีขึ้นเค้าก็หันมากินเหมือนเรา คราวนี้ก็ไม่กล้าแกล้งอะไรแล้ว เมื่อเราได้อุดรูรั่วของถังบุญเราแล้ว ทีนี้โยมจะใส่บุญไปเท่าไหร่ มันก็ไม่รั่วออก บุญโยมก็จะเต็มไว เต็มเร็วขึ้น มีบุญทันพอที่จะใช้หนี้เค้าเร็วขึ้น วันไหนที่เจ้าหนี้มาทวง เราก็จะมีบุญสำรองเก็บไว้
...........................................................................................
พูดมาเนิ่นนาน พอจะมีใครสักคนมั้ยที่กล้าเปลี่ยนแปลง ที่จะเป็นปลาผู้กล้าหาญ ว่ายทวนน้ำ ว่ายทวนกระแสกรรม ว่ายไปจนถึงต้นกรรมแล้วกระโดดข้ามพ้นไป เป็นมนุษย์ผู้ที่อยู่เหนือมนุษย์ด้วยกัน เป็นมนุษย์ที่เทวดารักใคร่ไปไหนก็ปกปักษ์รักษา เป็นมนุษย์ที่สัตว์ต่างๆ รักและอยากอยู่ใกล้ๆ เป็นมนุษย์ที่รักษาศีลได้ครบถ้วนไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานของจริง เป็นผู้ที่อุดรูรั่วของถังบุญได้อย่างดีเยี่ยม เป็นมนุษย์ที่รู้หน้าที่ของตนและควบคุมสติควบคุมตนเองได้ดีเลิศ เป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตตามสภาวธรรมจริงแท้ของตัว เป็นผู้ที่เจ้ากรรมนายเวรยังให้อภัยและเห็นใจในความดี เป็นผู้ที่เดินอยู่ท่ามกลางป่าดงดิบที่เห็นแสงสว่างส่องนำเป็นทางลัดให้เดิน ออกจากป่านั้น และเป็นผู้ที่อาตมาจะแผ่เมตตาให้เป็นพิเศษ"
.................................................................................................
ที่มาของบทความ
http://www.mindcyber.com/?p=69
.......................................................................................
ขออนุโมทนาทุกท่านที่กรุณาเปิดใจอ่านครับ ถ้าท่านเป็นหนึ่งที่กล้าเปลี่ยนแปลง ยอมลำบากตนเอง เพื่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย แม้เพียงแค่เริ่มคิด ก็ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
กระผมก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนร่วมสังสารวัฎเช่นเดียวกับทุกท่าน เราทุกคนสามารถช่วยกันทำโลกนี้ให้น่าอยู่ขึ้น เป็นโลกที่ปราศจากการฆ่า ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์กันเถิดครับ
.......................................................................................
อนุโมทนาพี่หนึ่ง หัตยา มากนะครับ ที่เปิดกระทู้ดีๆ เช่นนี้
........................................................................................
..........................................................................................................