Thread Rating:
  • 0 Vote(s) - 0 Average
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
Author Message
Maow Offline
VIP member
******

Posts: 3,670
Likes Given: 53
Likes Received: 101 in 79 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 18
#11
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
น้า Maew พูดถึงไอน์สไตน์ ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่ง "ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น"
และทำให้นึกถึงว่าเพียงแค่เขาค้นพบทฤษฏีสัมพันธภาพ ยังทำให้โลกมีการคิดประดิษฐ์สิ่งต่างๆทางด้านเทคโนโลยีมากมายขนาดนี้
ถ้าหากว่าเขาคิดทฤษฏีที่รวมเอาสนามพลังงานทั้งหมดที่มีในโลกนี้มารวมกันได้ก่อนที่จะสิ้นลมไปคงทำให้มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำหน้ามากไปกว่านี้ แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความเจริญของโลกที่มากเกินไปในปัจจุบันนี้คงต้องขอบคุณทฤษฏีควอนตัมด้วย

แต่ด้วยความเจริญทางด้านวัตถุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับความลดลงทางด้านศีลธรรมจรรยาเป็นอย่างมาก
ผมคิดว่าฝรั่งทางตะวันตกส่วนใหญ่น่าจะมีความอิ่มตัวกับความเจริญฟุ้งเฟ้อจนล้นทะลักแล้ว จึงหันมาสนใจปรัชญาการใช้ชีวิตแบบชาวตะวันออก ซึ่งเป็นวิถีที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยภูมิปัญญาอันชาญฉลาดที่จะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข

แต่อนิจจัง ชาวตะวันออกกลับวิ่งหาความศิวิลัย ความเจริญ เพื่อให้มีเทคโนโลยีที่เจริญ แก่งแย่ง จนทำให้ศีลธรรมอันดี หรือวิถีชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติมาอย่างยาวนานค่อยๆ เหือดหายไปจากจิตใจ มันช่างเป็นอะไรที่กลับข้างหรือสวนกระแสกับชาวตะวันตก

ถ้าหากคนทุกคนคิดถึง ธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่มาจาก หรือมีความหมายเดียวกับคำว่า ธรรมชาติ โลกคงจะน่าอยู่มากกว่านี้ขึ้น
การหาผลประโยชน์ใส่ตัว การโกง การกิน การคอรัปชั่นคงจะลดน้อยลงไป แต่วันนั้นไม่รู้ว่าจะนานอีกแค่ไหนที่จะเกิดขึ้น หรือไม่มีทางอีกเลย
20-05-2009, 09:29
Find Like Post Reply
Maew Offline
Senior member
****

Posts: 470
Likes Given: 0
Likes Received: 0 in 0 posts
Joined: 03 Feb 2009
Reputation: 26
#12
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
ขอบคุณครับน้าหม่าว ที่แวะเข้ามาแลกเปลี่ยน
และเห็นด้วยทุกประการครับ

ที่ผมพูดถึงข้อสังเกตของไอน์สไตน์ก็คลับคล้ายคลับคลาว่า น่าจะเอามาจากหนังสือเล่มนั้นแหละครับ
ผมเคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ในกระทู้น้าหนึ่ง ขอไม่ฉายซ้ำในส่วนของการวิจารณ์หนังสือ

เรื่องของไอน์สไตน์นั้นมีอะไรน่าสนใจหลายอย่างมาก ทั้งผลงานและแนวคิด
ที่น่าสนใจมากๆสำหรับผม คือ ความสนใจของไอน์สไตน์ที่มีต่อพุทธศาสนา

ประเด็นของน้าหม่าว ผมมีเรื่องมาแลกเปลี่ยนด้วย คิดว่าน่าสนใจทีเดียว...
ผมเคยได้ยินเรื่องของ Gross Nation Happiness ของชาวภูฎาน ซึ่งผู้นำประเทศ (กษัตริย์องค์ก่อน) มีนโยบายในการพัฒนาประเทศไม่เหมือนชาติอื่นๆ
คือ ท่านต้องการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเน้นการยกระดับจิตใจและการอยู่ร่วมกันในสังคม ไปพร้อมๆกับความเจริญทางวัตถุ ในขณะที่ประเทศอื่นๆมุ่งเน้นไปทางสร้างผลผลิตเพื่อเพิ่ม GDP
ผมก็ไม่เข้าใจลึกซึ้งนัก แต่รวมๆแล้วโดยหลักการคือ ภูฏานพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วโดยยังตระหนักอยู่เสมอว่า จะต้องรักษาวัฒนธรรมของตนเอง,ทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ, เน้นความสุขของส่วนรวม
ผลคือ ทุกวันนี้ประเทศภูฏานมี GDP ที่ต่ำมาก แต่จากการวัดความสุขด้วยวิธีการวัดแบบตะวันตกที่ได้รับการยอมรับ ภูฏานอยู่อันดับที่ 8 จาก 178 ประเทศ

เรื่องนี้ก็ถูกนักวิชาการฝรั่งบางคนค่อนขอดว่า เพราะ คนภูฏานส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักความสุข จากการมีทีวี, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
พูดง่ายๆว่า มีความสุข เพราะไม่รู้ว่า มันมีอย่างอื่นอีกที่สร้างความสุขให้กับชีวิตได้มากกว่านี้
ฟังดูก็มีเหตุผลเหมือนกันนะครับ...
ย้อนมานึกถึงตัวเองแล้ว ถ้าเราไม่เคยเห็น laptop ก็เป็นไปไม่ได้ที่คิดจะอยากได้ เพราะไม่รู้ว่ามันมีของแบบนี้อยู่ด้วย
แต่พอรู้ว่ามันมีคอมพิวเตอร์พกไปไหนมาไหนก็ได้แบบนี้อยู่ ก็คงคิดว่า มีแล้วชีวิตคงดีขึ้นอักโข แล้วก็อยากจะมีมั่ง
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่า ถ้าชาวภูฏานได้รู้จัก/สัมผัส เครื่องใช้เทคโนโลยีอย่างฝรั่งแล้วจะเกิดความกระ***นกระหือรือ อยากมี อยากได้จนตัวสั่นบ้างหรือเปล่า
แล้วถ้ามีแล้วจะมีความสุขเพิ่มขึ้นไหม..

แต่เรื่องนี้ก็คงบอกอะไรได้อย่างหนึ่งว่า การที่คนเราจะมีความสุขได้นั้น ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลย เพียงแค่มีความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันกับตัวเอง, คนรอบตัว, สังคม, ธรรมชาติ.....

ขอบคุณครับ

ปล. เห็นกระทู้ป้ามุก ไปภูฏานมา อยากถามเหมือนกันว่า ชีวิตความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต, แนวคิดของคนที่นั่นเป็นยังไงบ้าง ป้ามุกมีอะไรเพิ่มเติมก็ยินดีนะครับ
" Remember happiness doesn't depend upon who you are or what you have; it depends solely on what you think. "
- Dale Carnegie
(This post was last modified: 20-05-2009, 17:32 by Maew.)
20-05-2009, 17:18
Find Like Post Reply
Maow Offline
VIP member
******

Posts: 3,670
Likes Given: 53
Likes Received: 101 in 79 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 18
#13
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
ผมเห็นพ้องกับน้า Maew เช่นกันครับ ความไม่ฟุ้งเฟ้อหรือวิถีชิวิตของชาวภูฐานที่ไม่ถูกอารยธรรมจากทางตะวันตกเข้าครอบงำทำให้ความเป็น ธรรมะ หรือ ธรรมชาติ ยังค่อนข้างที่จะเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นอารยธรรมหรือวัฒนธรรมประเพณีของตัวเอง เมื่อไม่รู้ เมื่อไม่เห็น ก็ไม่เกิดกิเลสหรือความอยากได้ อยากมี ความโลภ ผมจำประโยคหนึ่งในหนังเรื่อง Air Force One ตอนที่ประธานาธิบดี (Harrison Ford) พูดกับรองประธานาธิบดีที่แสดงโดยผู้หญิงขณะที่ถูก hijacked ว่าการต่อรองกับผู้ก่อการร้ายถ้าหากว่า "เราให้บิสกิตหรือคุกกี้กับหนู สิ่งที่ตามมาหนูก็จะร้องหานม" ดังนั้นก็เหมือนกับว่าถ้าหากคนเราที่มีกิเลสหรือความอยาก ถ้าได้อย่างหนึ่ง ก็มักจะต้องการอีกสิ่งหนึ่งตามมาเสมอ
ดังนั้นในสังคมปัจจุบันนี้ถ้าหากคนเรารู้จักความพอดี ความสันโดษ ก็น่าจะทำให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข (แม้แต่ผมเองก็ยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ครับ เพราะอยากได้โน้นนี่ไปหมดไม่รู้จบ) แต่จะหาความพอดี หรือความสมดุล ให้กับชีวิตอย่างไร ผมคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่เป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตมีความสุขทั้งทางด้านกาย และใจ ซึ่งสิ่งสุดท้ายของคนทุกคนก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติทั้งหมด แล้วทำไมเราไม่ยอมทำตัวให้เข้าหาธรรมชาติ เสียตั้งแต่เรายังมีชีวิตอยู่ สังคมคงจะน่ารัก น่าอยู่......... Smile

สำหรับเรื่องของไอน์สไตน์ ผมคิดว่าความรู้สึกหรือแนวคิดของเขาค่อนข้างหรือชอบที่จะมาแนวของชาวตะวันออกมากกว่าที่จะเป็นคริสต์ศาสนาในขณะนั้นครับ (จากความรู้สึกที่อ่านหนังสือ) ที่ผมกล่าวเช่นนี้ก็เนื่องจากว่าในขณะนั้นไอน์สไตน์ค่อนข้างถูกต่อต้านอย่างมากจากชาวคริสต์เนื่องด้วยแนวคิดอาจจะไม่ตรงกัน ถึงขั้นที่ต้องหนีตายเนื่องจากถูกตามฆ่าอยู่เนืองๆ แต่อย่างไรก็ตามอย่างที่ผมเคยกล่าวในกระทู้ก่อนหน้านี้ ถ้าหากว่าไอน์สไตน์ได้รู้จักพุทธศาสนาสักหน่อยเขาคงจะคิดและสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่และมหัศจรรย์ให้กับโลกใบนี้ได้มากกว่านี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดความรัก และความเข้าใจ ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ชายที่ชื่อไอน์สไตน์ประสบผลสำเร็จในการคิดทฤษฎีสัมพันธ์ภาพ เพราะว่าขณะที่เขาคิดทฤษฎีนี้ได้เขาคลุกตัวอยู่ในห้องคนเดียวไม่พบปะใคร (น่าจะนั่งใช้ความคิดหรือ derive สูตรสมการคณิตศาสตร์) มีเพียงภรรยาคนที่สองเท่านั้นที่คอยส่งข้าวส่งน้ำให้ที่หน้าประตู โดยไม่รบกวนหรือกวนใจให้เกิดความรำคาญ (แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจ หรือความอดทนของภรรยาคนที่สองนี้สุดยอดเลย) จนกระทั่งเขาสามารถสำเร็จในการค้นพบทฤษฎีนี้ และก็ทำให้เกิดสิ่งดีๆ ต่อมวลมนุษยชาติมากมาย (ขอบคุณไอน์สไตน์จริงๆ ที่ทำให้พวกผมต้องมานั่งเรียนปวดหัว หลังขดหลังแข็ง และก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่นัก)
21-05-2009, 09:03
Find Like Post Reply
napman Offline
VIP member
******

Posts: 2,118
Likes Given: 91
Likes Received: 58 in 41 posts
Joined: 27 Apr 2009
Reputation: 45
#14
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
Maew
แต่เรื่องนี้ก็คงบอกอะไรได้อย่างหนึ่งว่า การที่คนเราจะมีความสุขได้นั้น ไม่ได้ต้องการอะไรมากมายเลย เพียงแค่มีความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันกับตัวเอง, คนรอบตัว, สังคม, ธรรมชาติ.....
[/quote Wrote:
Hi Maew,
I seconded that, and BTW; when I was in BKK last April, I asked my nephew about that book ( Einstein found, Buddha realized, by Dentist Som Sujira) and he found/bought it for me when I was about to board the plane at the airport. It's one of the books that I still read it from time to time besides Buddhatas Picsu's books that really help me got through many obstacles in my life.
[quote='Maow' ดังนั้นในสังคมปัจจุบันนี้ถ้าหากคนเรารู้จักความพอดี ความสันโดษ ก็น่าจะทำให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ซึ่งสิ่งสุดท้ายของคนทุกคนก็ต้องกลับคืนสู่ธรรมชาติทั้งหมด แล้วทำไมเราไม่ยอมทำตัวให้เข้าหาธรรมชาติ เสียตั้งแต่เรายังมีชีวิตอยู่ สังคมคงจะน่ารัก น่าอยู่......... :)

Hi Maow,
I also seconded that, and might add that most of us always dream about the things that we don't have and never satisfy with what we already had that once was the thing that we were dreaming about!

I guess it's the human being's instincts and most of us called it by the name of "PROGRESS" Big Grin
[A friendship needs a little mulch of contacts every so often-just to save it from drying out completely.

I always have great pleasure being alone by myself to play, If you're playing for any other reason, it won't last.
http://youtu.be/_tkGVGOKQ8c
(This post was last modified: 21-05-2009, 10:34 by napman.)
21-05-2009, 10:26
Website Find Like Post Reply
Maew Offline
Senior member
****

Posts: 470
Likes Given: 0
Likes Received: 0 in 0 posts
Joined: 03 Feb 2009
Reputation: 26
#15
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
จริงครับ น้าหม่าว
ผมเชื่อว่า ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าชาวภูฏานได้สัมผัสเทคโนโลยีแล้ว คงเป็นไปได้ยากที่จะไม่อยากได้อยากมี
นอกจากจะศึกษาธรรมะมาตลอดอย่างสม่ำเสมอ
ผมเองก็เชื่อในเรื่องการใช้ชีวิตอย่างพอดี แต่ทุกวันนี้กิเลสก็ยังเกาะหนาเตอะ เห็นสิ่งเย้ายวนรอบตัวก็ยังอยากได้ไปหมด
เลยต้องอาศัยแนวคิดพวกนี้มาปรับพฤติกรรมให้กิเลสมันลดๆไปบ้าง

เรื่องของไอน์สไตน์ที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือ การเข้าถึงแก่นแท้ของธรรมชาติ หรือ ธรรมะ ในเส้นทางที่แตกต่างไปจากผู้ที่ศึกษาธรรมะโดยตรง
ไอน์สไตน์ไม่ได้รู้จักพุทธศาสนามาก่อน มุ่งเน้นศึกษาแต่ด้านฟิสิกส์จนค้นพบความลับของธรรมชาติและสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎี
ภายหลังพอได้ศึกษาพุทธศาสนาแล้ว ก็พบว่า นี่คือ แก่นแท้ของธรรมชาติอันลึกซึ้งกว่าสิ่งที่เขาค้นพบ
ผมว่า มันน่าสนใจตรงเส้นทางที่มันมาบรรจบกัน เพราะคนที่จะเข้าถึงพุทธปรัชญาผ่านเส้นทางสายวิทยาศาสตร์คงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
และถ้าไม่ใช่ศาสตร์ด้านฟิสิกส์ ถึงแม้จะเป็นศาสตร์บริสุทธิ์อื่นๆ อย่าง คณิตศาสตร์, เคมี, ชีววิทยา ก็ยังน่าจะเป็นไปได้ยากที่จะเข้าถึงแก่นแท้

ทีแรก ผมรู้สึกขัดใจว่า ทำไมไอน์สไตน์จะต้องเรียก ศาสนาพุทธว่า Universal Religion ไม่คิดจะเรียกว่า Bhuddhism
แต่นึกไปนึกมาแล้ว ผมเดาว่าน่าจะเป็นเพราะ ศาสนาพุทธมีองค์ประกอบอีกหลายอย่าง เช่น พุทธประวัติ, บทสวด, พิธีกรรมอะไรอีกมากมาย ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาสนใจ
ไอน์สไตน์คงให้ความสำคัญเฉพาะแก่นแท้ของพุทธศาสนาที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและจักรวาลเท่านั้น เลยตั้งชื่อสำหรับแก่นแท้ของพุทธศาสนาให้เอง

น่าตลกตรงที่ แก่นแท้ตรงนี้ คนไทยส่วนใหญ่ที่เรียกว่า พุทธศาสนิกชน กลับไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรนัก เอาแต่มุ่งเน้นไปที่เปลือกนอกอย่าง พิธีกรรม,สิ่งก่อสร้างในวัด,พระสงฆ์ ฯลฯ

น้าnap ครับ
เล่มนี้ผมอ่านนานแล้ว จำได้แค่คร่าวๆ
แต่สรุปสั้นๆในความรู้สึกผม คือ ผมชอบประเด็นในการเปิดมุมมองที่เชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนา
แต่ยังรู้สึกว่า การวิเคราะห์หลายๆอย่างของผู้เขียนยังไม่ตกผลึก..อยู่ประมาณครึ่งเล่ม
ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความรู้/ความเข้าใจผมยังมีน้อยเกินไปก็เป็นได้
อยากจะแลกเปลี่ยนมุมมองกับน้า nap อยู่เหมือนกัน

มีอะไรเพิ่มเติมก็ยินดีนะครับ
" Remember happiness doesn't depend upon who you are or what you have; it depends solely on what you think. "
- Dale Carnegie
21-05-2009, 11:51
Find Like Post Reply
Maow Offline
VIP member
******

Posts: 3,670
Likes Given: 53
Likes Received: 101 in 79 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 18
#16
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
น้า Nap กับ น้า Maew ครับ เดี๋ยวผมต้องลองไปหาหนังสือของท่านพุทธธาตุภิกขุมาอ่านบ้างแล้ว สารภาพตามตรงว่าไม่เคยอ่านเลยครับ
หนังสือดีๆอย่างนี้ไม่ได้อ่านก็เสียดายแย่เลย
21-05-2009, 12:32
Find Like Post Reply
Maew Offline
Senior member
****

Posts: 470
Likes Given: 0
Likes Received: 0 in 0 posts
Joined: 03 Feb 2009
Reputation: 26
#17
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
เล่มที่ผมบอกว่า อ่านนานแล้ว คือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็นนะครับ

ส่วนหนังสือของท่านพุทธทาส ซึ้อไว้หลายเล่ม ชุดที่เอามาพิมพ์ใหม่ หน้าปกขาวๆ
แต่ยังอ่านไม่จบสักเล่ม
หนังสือธรรมะ ผมอ่านรวดเดียวจบไม่ไหวครับ ต้องค่อยๆอ่านไปทีละหน่อย
ผมชอบอ่านที่ท่านตอบคำถาม ผมว่าท่านชัดเจนในความคิด,ความเข้าใจของท่านมาก และถ่ายทอดออกมาได้ดี
แนะนำให้ซื้อไว้เหมือนกันครับ
" Remember happiness doesn't depend upon who you are or what you have; it depends solely on what you think. "
- Dale Carnegie
21-05-2009, 16:36
Find Like Post Reply
napman Offline
VIP member
******

Posts: 2,118
Likes Given: 91
Likes Received: 58 in 41 posts
Joined: 27 Apr 2009
Reputation: 45
#18
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
(21-05-2009, 16:36)Maew Wrote: เล่มที่ผมบอกว่า อ่านนานแล้ว คือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็นนะครับ

ส่วนหนังสือของท่านพุทธทาส ซึ้อไว้หลายเล่ม ชุดที่เอามาพิมพ์ใหม่ หน้าปกขาวๆ
แต่ยังอ่านไม่จบสักเล่ม
หนังสือธรรมะ ผมอ่านรวดเดียวจบไม่ไหวครับ ต้องค่อยๆอ่านไปทีละหน่อย
ผมชอบอ่านที่ท่านตอบคำถาม ผมว่าท่านชัดเจนในความคิด,ความเข้าใจของท่านมาก และถ่ายทอดออกมาได้ดี
แนะนำให้ซื้อไว้เหมือนกันครับ

Hi Maew,
Here's the excerp from the book that you wanted to buy for me;

ผมเข้าใจว่าเรื่องเงินตราเป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ผมคงพูดเพียงเท่านี้ว่า ทันทีที่เรามีเงินหรือทันทีที่เราอยากได้เงินหรือกระหายเงิน ความหมายของชีวิตมันจะมีรสชาติที่แปรเปลี่ยนไปเลย เพราะฉะนั้นวันที่ไม่มีเงิน ผมจึงได้สัมผัสรู้ว่าชีวิตมีรสชาติ มีความหมายที่มหัศจรรย์ แต่ตรงนี้ไม่ได้พูดเพื่อจะบอกว่าเงินไม่มีคุณค่าหรือไม่มีความหมาย แต่คุณค่าของเงินเมื่อมาผสมกับความปรารถนาความอยากของเรา ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่งได้

ผมเพิ่งได้ประจักษ์แจ้งว่า จริงๆ แล้วชีวิตของเราที่มันมีปัญหามากมายสารพัด ส่วนหนึ่งเพราะเราตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการปรุงแต่งเรื่องเวลา มันทำให้สิ่งที่เป็นปัจจุบันสูญเสียคุณค่าไป เมื่อผมสามารถกลับมาสู่ความเป็นปัจจุบันได้ ทำให้ผมเข้าใจพระพุทธวจนะที่ว่า จะมีชีวิตอยู่สักร้อยปี แต่จิตใจไม่สงบนิ่ง ไม่เย็นเป็นสุข สู้มีชีวิตอยู่นาทีเดียวแต่จิตสงบนิ่งเป็นสุขไม่ได้ ผมประจักษ์แจ้งในขณะที่เดินไปนี่แหละครับ ........ที่เหลือหาอ่านกันเองนะคับ

จากหนังสือ "เดินสู่อิสรภาพ"ของ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์

This is a very interesting book, it's going to be hard for me to wait until November to digest it. So I'll see if I can find it in Los Angeles first.
I'll let you know (updated; I called Thai bookstore "Dokya" at Thailand Plaza on Hollywood Blvd., they ran out of stock but will order for me and I have to call back and check with them again within 2 weeks) and I agree that we seemed to like the same kind of books. And appreciate your concern for sharing good books to me.Smile

And here's another inspirational book that I've read so many years ago by Colin Fletcher (The man who walked through time)
R.I.P. Colin Fletcher, ?The Father of Modern-Day Backpacking?

The author and adventurer best known for his seminal backpacking guide The Complete Walker and his Grand Canyon narrative The Man Who Walked Through Time died last week at the age of 85. ?The Complete Walker? was first published in 1968, and it was enormously influential in its day. Backpacker magazine editor in chief Jonathan Dorn told the Los Angeles Times: ?He brought this idea that you didn?t have to be a nut case to take long solitary walks in the wilderness at a time when a lot of people were really looking for ways to create holistic lives and escape from the craziness of Vietnam and the stresses of the ?60s.?

Dorn told MediaNews: ?Certainly, a lot of people think of him as the father of modern-day backpacking.?

While in high school, I was making pocket money stacking library books when I came across a very worn copy of ?The Man Who Walked Through Time.? Its beat-up cover suggested it had been stuffed into more than a few backpacks and hauled into the woods. It was the first travel narrative I read, and it inspired me to eventually backpack down the Grand Canyon. For that alone, I?ll always be indebted to Fletcher.

And here's last but not least, another walker for Peace/Love;
Peace Pilgrim - Biography
Peace Pilgrim was an extraordinary woman who spent several decades of her life walking across North America with her simple message of peace.
Her simple message she always carried with her was

"This is the way of peace: overcome evil with good,
and falsehood with truth, and hatred with love."

Peace Pilgrim was born in around 1908 on a New Jersey farm. Friends say she was a popular and bright young girl but there was no indication she would make the transition to be a saintly pilgrim.

When questioned, Peace Pilgrim briefly mentioned her early life without going into too much detail. She felt these early details unimportant and wanted people to concentrate on the important messages she was spreading. She would often say she wanted to promoted the ?message and not the messenger. It appears that in her early life she had a reasonably successful job ?I found making money was easy? however she felt that this life was not giving her any fulfilment and she wished to do something more productive. As she said in her own words She began to "live to give instead of living to get" (p.7) Thus from around this turning point of 1938 she began a process of spiritual practices which led to her simplifying her inner life and becoming less self centred. After 15 years of spiritual practice Peace Pilgrim decided to set out on a pilgrimage of peace. Walking 25,000 miles spreading her message of peace.

She set out in 1952 at the height of the Korean war and the suspicious period of McCarthyism. Peace Pilgrim herself came under suspicion. Because of his she decided to drop her old name to prevent her sister being hassled.

On the undertaking of her walking pilgrimage she vowed to "remain a wanderer until mankind has learned the way of peace, walking until given shelter and fasting until given food."

Peace Pilgrim would walk throughout the day only stopping for food when this was offered. Often she did not get proper shelter but she kept maintained a calm and serene approach to even the most difficult of situations. She touched the lives of many, inspiring others to consider what they could do to find inner peace within side themselves.

During the 1960s and the Vietnam war she came more to prominence and towards the end of her life she became well known. Often she would speak to packed audiences and led retreats for people interested in following a similar approach to life. Throughout her life Peace Pilgrim had remarkably good health. A feature she attributed to a plain and simple vegetarian diet and living in harmony with the world.

Peace Pilgrim walking across America

Peace Pilgrim died in July 1981 when she was killed instantaneously in a car collision. Peace Pilgrim called death ?A glorious transition to a freer life.?
If interest, please research at google/Peacepilgrim.com; To me she's one of those extraordinary people that worth learning about.

Out of my curiousity! If you don't mind, would you specifically elaborate more about your educations at USA? You seem to be an educated scholar.


And to Maow,
I got into your Profile, and learned more about you, interesting person indeed.
BTW; I just had our vacation home built at Ampur Saraphi, Chiangmai (actually I had it built for my wife in case she wants to permanently live
there to be closer to her brothers and sisters after I'm gone).
Since I knew that you are the teacher at Chiangmai Univ., when I was about 16 years of age I hiked up alone to Doi Suthep, down from sometwhere at the foothill. At that time Chiangmai Univ. was not existed yet.
So we might meet up in Chiangmai sometime at the end of this year if you are willing and able. We will take vacation there (1 month for my wife, 3 months for me). It's always nice to meet people of the same thing in common. Besides I also like "Martin", I currently have 4 Martins but will eventually try to keep only one.Cool
[A friendship needs a little mulch of contacts every so often-just to save it from drying out completely.

I always have great pleasure being alone by myself to play, If you're playing for any other reason, it won't last.
http://youtu.be/_tkGVGOKQ8c
(This post was last modified: 22-05-2009, 04:36 by napman.)
21-05-2009, 22:45
Website Find Like Post Reply
Maow Offline
VIP member
******

Posts: 3,670
Likes Given: 53
Likes Received: 101 in 79 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 18
#19
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
ขอบพระคุณน้า Nap และยินดีเป็นอย่างมากครับที่ส่งสารและเทียบเชิญถึงผมครับ ปลายปีถ้าน้า Nap กลับมาต้องไปหาน้า Nap แน่ๆ ครับ หรือผมไปหาที่บ้านสารภีก็ได้ครับ

สำหรับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมผูกพันแทบจะพูดได้ว่าทั้งชีวิตของผมเลยครับ เนื่องจากว่าผมอาศัยอยู่ในบ้านพัก มช ตั้งแต่ผมเกิดจนเรียบจบปริญญาโทครับ หลังจากนั้นก็ไปเรียนต่อและครอบครัวของผมพึ่งจะไปปลูกบ้านเองอยู่ภายนอกก็ 10 กว่าปีมานี้เองครับ พอกลับมาก็เป็นบุคลากรของ มช อีก ดังนั้นทั้งชีวิตที่ผ่านมา มช เหมือนกับเป็นดินแดนที่ให้อาศัยอยู่ และให้ที่ดำรงชีวิตและทำมาหากินครับ
(This post was last modified: 22-05-2009, 09:11 by Maow.)
22-05-2009, 09:06
Find Like Post Reply
Maew Offline
Senior member
****

Posts: 470
Likes Given: 0
Likes Received: 0 in 0 posts
Joined: 03 Feb 2009
Reputation: 26
#20
RE: มุมหนึ่ง..ในลอสแองเจลลิส
ขอบคุณครับ น้าnap
น่าสนใจมากสำหรับหนังสือของน้า ไว้ผมจะลองหาดูครับ
ไม่นึกว่า จะมีฝรั่งที่ตัดสินใจทำคล้ายๆอ.ประมวลด้วย
เคยได้ยินแต่ Art Garfunkel ที่ Walk Across America
แต่ผมเข้าใจว่า เป็นการเดินที่แตกต่างกันมาก ทั้งเป้าหมาย และการใช้ชีวิตระหว่างการเดินทาง


ส่วนเรื่องการศึกษา
ผมจบวิศวะ อุตสาหการที่จุฬาฯ ทำงานหนึ่งปี แล้วไปเรียนต่อโทที่ USC ภาค Industrial and Systems Engineering
จบโทแล้วก็ต่อเอกเลย อีก 4 ปี ภาควิชาเดียวกัน สาขา Operations Research
ไม่ได้รับทุนอะไรหรอกครับ ไปด้วยทุนพ่อแม่
หลังจากเรียนเอกไป 3-4 เทอม ได้เป็น Research Assistant ถึงมีทุนสนับสนุนจากภาควิชาบ้างนิดหน่อย
เรียนจบแล้วก็กลับเมืองไทยเลยทันที
กลับมาก็ไม่ได้ใช้ความรู้อะไรที่เรียนมาเท่าไหร่ครับ ทุกวันนี้ก็ทำงานกับที่บ้าน
ผมขออนุญาตถามน้าหม่าวด้วยนะครับ

ไม่ทราบน้าหม่าว จบด้านไหน อยู่คณะไหนเหรอครับ

เคยพูดคุยหรือเรียนกับอ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ บ้างหรือเปล่าครับ
ผมชอบงานเขียนของ อ.นิธิ มาก ทั้งความคิด การวิเคราะห์ และการใช้ภาษา

อ.ประมวล เพ็งจันทร์ ก็เคยเป็นอาจารย์ที่มช.
น้าหม่าว พอจะรู้จักบ้างไหมครับ
" Remember happiness doesn't depend upon who you are or what you have; it depends solely on what you think. "
- Dale Carnegie
(This post was last modified: 22-05-2009, 09:58 by Maew.)
22-05-2009, 09:53
Find Like Post Reply


Forum Jump:


Users browsing this thread: 3 Guest(s)

Contact Us | NimitGuitar | Return to Top | | Lite (Archive) Mode | RSS Syndication