ความเครียดและการงานที่บีบคั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในเรื่องของรสนิยมการเลือกชมภาพยนตร์ ประมาณว่าขอดูอะไรง่ายๆ ฮาๆ ไม่กดดันมากและไม่ต้องคิดเยอะ พอเห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึง 3 เมืองสวยในยุโรป เลยคิดว่าไม่มีเวลาไปเองดูรูปเอาก็ยังดีวุ้ย ..ในที่สุดหนังเรื่องนี้ก็ขายตั๋วเพิ่มได้อีก 2 ใบ
เดินเข้าโรงหนังกวาดตาไปเห็นเด็กๆ ชายหญิงในชุดนักเรียน ทั้งเครื่องแบบ ม.ปลาย ทั้งที่ยังผูกคอซองอยู่ เล็กสุดน่าจะราวประถมซึ่งมากับผู้ปกครอง (กรณีนี้ไม่แนะนำเลยนะครับ..ไม่ได้กลัวเด็กจะร้องไห้กลับบ้านกลางเรื่องหรอก แต่การปลูกฝังให้ลูกรักการท่องเที่ยวแต่เยาว์วัยเป็นความเสี่ยงต่อเงินในกระเป๋าผู้ปกครองอย่างมาก 555) ดูแล้วทั้งโรงมีคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันหรือแก่กว่าไม่น่าเกิน 3 คน แอบตะหงิดๆ อยู่ว่าตัวเองมาผิดที่หรือเปล่าแต่ก็สายไปแล้ว ถึงขั้นนี้ต้องแอ๊บแบ๊วนั่งดูให้จบ
ในเรื่องวางบุคลิกสองสาวเพื่อนซี้ไว้แตกต่างกัน คนหนึ่งห่าม(เชอร์รี่) บางครั้งทำอะไรแหกกฎตามแบบฉบับเด็กอาร์ต มี convincing power สูง จนมักทำให้อีกคน(นุ่น)ที่ดูคุณหนูและอ่อนหวานกว่าคล้อยตามแม้บางเรื่องจะไม่ถูกต้อง ช่วงกลางเรื่องมีชายหนุ่มก้าวเข้ามาอีกคน(ตั้ม) นี่ก็ห่ามไม่แพ้เชอร์รี่ แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างมากคือการไม่ทำผิดกฎหรือการยอมรับผลจากการกระทำผิดอย่างเต็มใจ จากความตั้งใจไปดูวิวขำๆ เลยได้อะไรติดมือกลับบ้านมานิดหน่อย
เมืองไทย...เชอร์รี่ เรียนดีแต่ถูกปรับตกเพราะปลอมลายเซ็นต์อาจารย์เพื่อเข้าไปใช้ห้องเขียนแบบ เธอถูกพักการเรียนและคิดว่าตัวเองไม่ผิด จึงชวนเพื่อนสาวที่เพิ่งอกหักหมาดๆ ไปทำงานหาเงินเที่ยวยุโรป
London...ร้านอาหารร้านแรกรับพนักงานเสิร์ฟแค่ 1 ตำแหน่ง เชอร์รี่จึงให้นุ่นทำก่อนแล้วตัวเองไปหาที่ใหม่
ข้อตกลงในการทำงานของเชอร์รี่คือ มาสาย-หักตังค์ น้ำหก-หักตังค์ แก้วแตก-หักตังค์ ไม่ยิ้มกับลูกค้า-หักตังค์ อะไรๆ ก็หักตังค์
คนไทยที่ทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องคอยหลบ ตม. อยู่เรื่อยๆ แต่ทั้งหมดก็ช่วยเหลือกันดี
สองสาวเกิดอยากหยุดงานไปเที่ยว(โดยไม่บอกนายจ้าง) 1 สัปดาห์ผ่านไป ทั้งสองคนโดนไล่ออก
Paris...การเงินของสองสาวเริ่มฝืดเคือง นำไปสู่ความเห็นที่แตกต่าง เพราะคนหนึ่งอยากกลับบ้าน แต่อีกคนไม่...
การอยู่ร่วมกับคนอื่นโดยไม่ปรับตัว ก็ทำให้ทั้งคู่เริ่มหงุดหงิดและมีปากเสียง แม้ว่าจะเป็นเพื่อนรักกัน
เชอร์รี่แทรกตัวผ่านเครื่องกั้นไปพร้อมนุ่นในขณะที่นุ่นกำลังสอดบัตรผ่านตามปรกติเพื่อไปขึ้นรถใต้ดิน นุ่นลองทำบ้างแต่เกือบถูกนายสถานีจับเพราะเห็นการกระทำจากกล้องวงจรปิด โชคดีที่หนีรอดมาได้
นุ่นเล่าเรื่องที่เกือบถูกจับให้ตั้มฟัง ตั้มบอกว่าถ้าตัวเองไม่อยากทำ ใครก็บังคับไม่ได้ นุ่นถามต่อว่าก็แล้วถ้าไม่มีเงินจะให้ทำยังไง คำตอบของตั้มคือ ..เดิน..ปารีสตอนกลางคืนสวยจะตาย
ตั้มอาศัยอยู่กับเพื่อนอีก 3-4 คนในที่ดินของรัฐบาลที่ไม่อนุญาตให้คนอยู่ เวลาเจ้าหน้าที่มาตรวจตั้มและพวกก็ไม่ได้หลบหนีแต่จ่ายเป็นค่าปรับครั้งละ 2,000 ยูโร เหตุผลที่ไม่หนีคืออยากอยู่ที่นี่ แต่ในเมื่อมันผิดระเบียบก็ต้องยอมจ่ายค่าปรับเอา
ตั้มบอกเชอร์รี่ว่าอาจารย์อาจจะทำเกินไปที่ปรับเกรดจาก A เป็น F แต่นั่นก็เพราะเชอร์รี่ทำผิดระเบียบ (ตามท้องเรื่อง การใช้ห้องเขียนแบบต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจากอาจารย์) ...เชอร์รี่ยังยืนยันว่าตัวเองไม่ผิด
เชอร์รี่โทร.หาพ่อ พ่อถามว่าหนาวมั้ย ใส่เสื้อหนาๆ ห่มผ้าอุ่นๆ ทะเลาะกับนุ่นหรือเปล่า... พ่อถามคำถามยอดนิยม ...เชอร์รี่น้ำตาไหล
Venice...สองสาวได้งานที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนด้วยความที่เจ้าของร้านชอบเมืองไทย แต่ทำงานวันแรกก็ถูกหักเงินเพราะเก็บเงินค่าอาหารได้ไม่ครบตามจำนวนกล่องที่ขายไป
อยากนั่งเรือกอนโดลาแต่ค่าบริการแพงจับใจ เชอร์รี่ออกอุบายโกงร้านอาหารในส่วนงานของนุ่น นุ่นขอสัญญาจากเชอร์รี่ว่าจะทำผิดเป็นครั้งสุดท้าย โชคร้ายเจ้าของร้านจับได้นุ่นจึงถูกส่งกลับเมืองไทย
เชอร์รี่ต้องฉลองคริสต์มาสอย่างเดียวดายและจมกับความรู้สึกผิดอยู่หลายเดือน
Pisa...ของขวัญวันเกิดของเชอร์รี่คือเธอแน่ใจว่านุ่นไม่ได้โกรธเธอแล้ว
เมืองไทย...อีกครั้ง...เชอร์รี่กลับมาสู้อ้อมกอดของครอบครัวรวมทั้งเพื่อนรัก ...ม่านปิดในขณะที่มิตรภาพเบ่งบาน...
v
v
v
คุยกับคนที่ไปดูด้วยกันก็พบว่าจุดสนใจขึ้นกับพื้นฐานของใครของมันจริงๆ จะหนัง หรือจะแฟน ถ้าคิดว่าไม่ดีแล้วมัวแต่มองข้อด้อยเราก็คงไม่รู้สึกว่ามีประโยชน์อะไร การตีค่าสิ่งต่างๆ ก็คงไม่หนีกฎธรรมชาตินี้ ...แต่ที่แน่ๆ หนังเรื่องนี้ดีตรงคนที่ไปดูด้วยกัน