เห็นพวกน้องๆถ่ายรูปกันใด้สวยๆเป็นว่าเล่นแล้วอิจฉาครับ คนสมัยนี้คงไม่รู้หรอกว่าเราต้องเดินทางมาแค่ไหนกว่าจะมาถึงวันนี้ที่เราสามารถถ่ายและปรับปรุงให้ใด้รูปสวยๆเอามาโพสต์ใด้โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ผมเลยขอมาเล่าเรื่องในอดีตจนถึงปัจจุบันให้ฟังครับ
ตอนผมเด็กๆนั้นไม่มีมือสมัครเล่นคนไหนใช้ฟิล์มสีหรอกเพราะนอกจากคุณภาพมันห่วยแล้วค่าล้างค่าอัดก็โหดมาก ส่วนฟิล์มขาวดำนั้นน่าจะพัฒนามาถึงจุดสูงสุดเมื่อหกสิบปีที่แล้วและก็ไม่ใด้มีการพัฯาต่อ มาดูรูปที่คุณพ่อผมถ่ายด้วยกล้อง 35 มม.เมื่อหกสิบปีที่แล้วครับ (สมัยนั้นมีแต่กล้องเยอรมันครับ)
ส่วนฟิล์มสีนั้นเริ่มใด้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอีกยี่สิบปีต่อมาเพราะคุณภาพเริ่มดีขึ้นแต่ก็ยังสู้ฟิล์มขาวดำไม่ใด้ ถ้าต้องการขยายใหญ่ก็ต้องใช้กล้องตัวใหญ่ครับ
สมัยก่อนนั้นถ้าใครต้องการถ่ายรูปเก็บรายละเอียดสวยๆก็ต้องใช้ฟิล์มสไลด์ครับ การพัฒนาคุณภาพของฟิล์มสีเป็นไปอย่างช้ามากๆ ผมคิดว่ากว่าจะมาถึงจุดสูงสุดก็ต้องใช้เวลากว่ายี่สิปีแต่พอถึงยุค 1990s นี่เรื่องคุณภาพก็ไม่แพ้ฟิล์มขาวดำแล้ว
ผมซื้อกล้องดิจิตัลตัวแรกเมื่อสิบสามปีที่แล้วเป็นกล้อง Olympus ขนาด 1.3 MP เรื่องคุณภาพตอนนั้นไม่ต้องเอาไปเทียบกับกล้องฟิล์มแต่มันใช้สะดวกกว่าเยอะเพราะไม่ต้องไปพึ่งร้านเพื่อล้างและอัดรูปอีกต่อไป
อีกเพียงสองปีต่อมากล้องดิจิตัลก็ใด้พัฒนาจนถึงจุดที่ผมเลิกใช้กล้องฟิล์มไปเลยนอกจากต้องการใช้เลนส์พิเศษเช่นพวก fisheye หรือ super-tele กล้องตัวใหม่ของผมมีความละเอียด 5.0 MP Lens 28-200 F2.8 ครับ
อีกสองปีต่อมาก็มาถึงยุคของ digital SLR คราวนี้เลนส์ที่กองไว้รกบ้านก็เอากลับมาใช้ใด้ใหม่หมด สวรรค์โปรดแท้ๆ
การพัฒนาในยุค digital นั้นรวดเร็วกว่ายุคฟิล์มเป็นสิบเท่าครับ ตอนนี้ผมแทบจะไม่พกกล้องติดตัวเวลาเดินทางแล้วเพราะกล้องมือถือขนาด 12.1 MP มันก็ใช้งานใด้เหลือเฟือถ้าไม่คิดมาก ลองดูตัวอย่างจากสองรูปด้านล่างครับ
ตอนนี้กล้องมือถือดูเหมือนว่าจะไม่มีการพัฒนาให้ดีขึ้นอีกแล้วเพราะไม่มีตลาดรองรับ ทั้งค่าย Sony และ Nokia รุ่นล่าสุดก็ลดเป็คกล้องลงเหลือแค่ 8.0 MP ผมไปลองมือถือแล้วทุกยี่ห้อที่เพิ่งออกวางตลาดก็ยังไม่เจอตัวไหนที่กล้องดีกว่ากล้องมือถือของผมเลยครับ