(25-03-2013, 04:59)povation Wrote: Believe it or not! ความคิดเห็นส่วนตัวของผม คือว่า….
ขายที่เอากำไรเยอะๆ ไม่แปลก อาจจะได้ทั้งธุรกิจและมิตรภาพตามมาด้วย เช่น คนขายหาสินค้าเก่ง เป็นสินค้าที่หายากและมีคุณภาพดี เป็นที่ต้องการของตลาด
ขายที่เอากำไรเยอะๆ ไม่แปลก อาจจะได้แค่ธุรกิจแต่มิตรภาพอาจจะเสียไป เช่น คนขายจะมีรายได้ดีขึ้น แต่ลูกค้าเก่าเริ่มตีจาก ต้องคอยหาลูกค้าหน้าใหม่มาทดแทน
ขายที่ยอมขาดทุนเยอะๆ ไม่แปลก อาจจะไม่ได้ธุรกิจแต่มิตรภาพดีขึ้น เช่น คนขายขาดสภาพคล่องทางการเงิน และยอมขายขาดทุนมากมายเพื่อหวังผูกมิตรภาพ เพื่อจะได้ลูกค้าประจำ
ขายที่ยอมขาดทุนเยอะๆ ไม่แปลก อาจจะไม่ได้ธุรกิจและมิตรภาพอาจจะเสียไป เช่น คนขายจำเป็นต้องขายสินค้าไปเพราะ เก็บไว้นานมีแต่เสียหายยิ่งขึ้น หรืออาจจะซื้อมาโดยถูกหลอกลวงในคุณภาพของสินค้านั้น จึงต้องขายต่อไปในราคาขาดทุน แต่ได้ปกปิดความจริงแก่ผู้ซื้อ ในคุณภาพและความชำรุดบกพร่องของสินค้านั้น ซึ่งหากผู้ขายบอกความจริง ผู้ซื้อก็จะไม่ซื้อในราคานั้นอย่างเด็ดขาด แม้ราคานั้นจะเป็นราคาที่ผู้ขายได้ขายขาดทุนแล้วก็ตาม
ธุรกิจจะเดินไปได้ดีต้องมีกำไร จะกำไรมากหรือน้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สภาวะตลาดและความต้องการของผู้ซื้อ แต่ที่สำคัญที่สุด ความจริงใจในการขาย การพรรณนาคุณสมบัติและคุณภาพของสินค้าที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง สามารถพิสูจน์ได้ จะเป็นเสน่ห์ที่ผู้ขายย่อมได้รับความไว้วางใจจากผู้ซื้อ ทำให้มิตรภาพทั้งส่วนตัวและทางการค้าแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
อ่านแล้ว...เห็นด้วยกับพี่ป๋อ 100% ครับ เอาไป 10 กะโหลก 555...
ผมไม่แน่ใจว่า การที่น้า indianday1994 ตั้งกระทู้แบบนี้ต้องการจะสื่ออะไร หรือว่าน้าไปรู้ต้นทุนขายของผู้ค้าบางรายเข้า เลยรู้สึกอึดอัดใจต้องมาระบาย..
ผมคงไม่ต้องบรรยายซ้ำว่า ธุรกิจ vs มิตรภาพ มันเป็นอย่างไร เพราะที่อ่านจากความเห็นจากทุกๆ ท่านแล้วเห็นว่า มันถูกทุกข้อ..!! และสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทุกท่านมักจะเน้นย้ำ นั่นก็คือ ข้อมูลที่ถูกต้องของสินค้า ที่ไม่มีการปกปิดความจริงแก่ผู้ซื้อในเรื่องคุณภาพและความชำรุดบกพร่องของสินค้านั้น ซึ่งทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดในคุณสมบัติของสินค้านั้นๆ พูดง่ายๆ ก็คือ "หลอกขายของ" นั่นเอง
ส่วนเรื่องราคา หรือ กำไรของผู้ขายนั้น ปล่อยให้กลไกตลาดทำหน้าที่ของมันเถอะครับ อย่างที่ทราบกันว่า การทำธุรกิจต้องมีกำไร จะน้อยหรือมาก เราในฐานะผู้ซื้อไม่ต้องไปสนใจมันหรอกครับ ตราบใดที่สินค้านั้นมีคุณภาพและราคาที่เราพอใจ หากผู้ขายรายใดตั้งราคาเกินจริง ก็จะขายไม่ออกไปเองโดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย
อีกประเด็นที่อยากจะพูดก็คือ การซื้อขายของหายากหรือของสะสมบางอย่าง บางทีเราไม่สามารถจะกำหนดได้นะครับว่าควรจะซื้อขายกันในราคาเท่าไหร่ หรือเป็นราคาที่ผมเรียกว่า "ราคาพระสมเด็จฯ" ซึ่งถ้าคนที่อยู่ในวงการพระจะรู้ดีว่า พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ (พิมพ์นิยม) นั้น มีราคาซื้อขายกันตั้งแต่ 5 ล้านบาทถึงบางทีก็เกือบจะ 100 ล้านเลยก็มี ในเมื่อของสิ่งนั้นหายากและเป็นที่นิยม มันก็มักจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของผู้ขายที่สามารถจะเปิดราคาสูงได้ ส่วนจะปิดการซื้อขายกันที่เท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองและความพอใจของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายครับ
ไม่คิดมากก็ไม่เครียด ไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวังครับ