ตำนานของ John D'Angelico และ Jimmy D'Aquisto
John D'Angelico เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาเลี่ยนเกิดเมื่อปี 1905 พออายุใด้แค่ 9 ขวบเขาก็ใด้เข้าไปฝึกทำกีตาร์โปร่งและ mandolin กับคุณตาของเขาและเริ่มทำกีตาร์ขายเองตอนอายุ 27 ปี ตอนนั้นเขาเริ่มทำกีตาร์ archtop ในสไตล์ของ Gibson L-5 และเริ่มใด้รับการยอมรับจากศิลปินหลายๆคนจนในที่สุดก็ใด้เป็น luthier มือหนึ่งของอเมริกาในยุค 1950s ลูกค้าคนดังของเขาก็หลายคนรวมถึง Johnny Smith และ Joe Pass
John เสียชิวิตในปี 1964 และผลิตกีตาร์ทั้งหมดประมาณ 1,100 ตัว ตอนนี้ราคามือสองบางตัวเกินล้านครับ
ส่วน Jimmy D'Aquisto นั้นเกิดปี 1935 พออายุครบ 17 ปีก็ใด้งานเป็นผู้ข่วยของ D'Angelico จนกระทั่ง John เสียชีวิตเขาก็รับช่วงต่อโดยตอนแรกนั้นกีตาร์ D'Aquisto ก็ใช้ design ของ D'Angelico แต่ต่อมาเขาก็เริ่มปรับปรุงแบบเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองจนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
Jimmy ต่างกับ John ตรงที่เขาต้องการให้กีตาร์ของเขาพํฒนาไปจนสามารถผลิตในโรงงานใด้ ในยุค '70s เขาก็ออกแบบให้ Hagstrom ผลิตแต่คุณภาพยังไม่น่าพอใจก็เลยเลิกไป ในปี 1983 กีตาร์ Fender ก็หวังจะแย่งตลาด high end archtop จาก Gibson ก็เลยมาติดต่อให้ Jimmy ช่วยออกแบบและฝึกสอนช่างให้ทำกีตาร์ archtop ผลปรากฎว่าช่างของ Fender USA นั้นไม่มีประสพการณ์ในการทำกีตาร์ archtop เลยดังนั้น Fender ก็เลยตัดสินใจให้ Fujigen เป็นคนสร้างแทน Fender D'Aquisto ออกวางตลาดในปี 1984 สามรุ่นและเป็นกีตาร์ราคาแพงที่สุดของ Fender ในตอนนั้น
Fender D'Aquisto Japan ผลิตใด้ปีเดียวก็ต้องเลิกเพราะ CBS ขาย Fender ให้กับเจ้าของปัจจุบัน กีตาร์ series นี้มือสองเลยกลายเป็นกีตาร์สะสมไปแล้ว เจ้าของใหม่ของ Fender ก็ชอบรุ่นนี้มากดังนั้นในปี 1994 ก็เลยติดต่อให้ Jimmy มาสอนช่างของ Fender Custom Shop ให้ทำรุ่น D'Aquisto อีกครั้ง Jimmy สอนหนักจนตัวตายอยู่แถวหน้าโรงงาน Fender ในปี 1995 รวมอายุใด้ 59 ปีเท่ากับอาจารย์ของเขาพอดี
ตำนานของกีตาร์ D'Aquisto ถูกสานต่อโดยบริษัท Aria ของญี่ปุ่นซึ่งซื้อลิขสิทธิ์และแบบทั้งหมดมาจากทายาทของเขาและเริ่มผลิตกีตาร์ D'Aquisto ออกมาขายใหม่ตั้งแต่ปี 2002 แต่ใด้ระงับการส่งออกและขายในญี่ปุ่นประเทศเดียวในปัจจุบันครับ
1984 Fender D'Aquisto Elite
Fender D'Aquisto ใน Master Series นั้นมีอยู่สามรุ่น รุ่นแรกคือ Ultra ที่เป็น pure acoustic (ดูรูปด้านบน) ขายใด้แค่สามตัว รุ่นรองคือ Elite ใช้ pickup 12-pole ของ Schaller เยอรมันตัวเดียวขายใด้ประมาณพันตัวและรุ่นถูกสุดคือรุ่น Standard มี pickup สองตัวขายใด้มากพอๆกัน
ในยุคนั้นกีตาร์ archtop ที่ขายใด้ถึงพันตัวในปีเดียวเป็นเรื่องค่อนข้างมหัศจรรย์ ดังนั้นในปี 1989 เจ้าของใหม่ก็เลยไปจ้างให้โรงงาน Terada ผลิตรุ่นนี้อีกครั้งแต่กลับขายไม่ดีเพราะไปเปลี่ยนสเป็คจาก nitrocellulose lacquer finish มาเป็น polyurethane finish อย่างหนาเพราะ original finish มักแตกลายงาแถมยังเปลี่ยน pickup อีกด้วย
Elite รุ่นสองผลิตอยู่ห้าปี (1989-1994) ส่วน Elite รุ่นสุดท้ายเป็นงานของ Fender Custom Shop ในปี 1999 ครับ ราคามือสองตาม Blue Book ก็เป็นไปตามนี้
ส่วนราคาของ Elite รุ่นแรกที่ขายกันใน eBay จะสูงกว่าราคากลางพอสมควร
ตัวของผมอุปกรณ์ทุกชิ้นเป็นของ original และมาพร้อมกล่องแท้ครับ
รุ่นนี้พ่น thin skin nitrocellulose lacquer มาจากโรงงานก็เลยมี lacquer checking บนไม้หน้าพองามตามสไตล์ Closet Classic ของ Fender ครับ
SOLD
2003 D'Aquisto Centura Tangerine Burst
ตัวนี้เป็น pure acoustic ที่เสียงดังมากครับ ไม้หน้าเป็น solid spruce ไม้ข้างและไม้หลังเป็น laminated maple งานฝีมือขั้นสุดยอดทีเดียว
ราคามือหนึ่งแสนกว่า มือสองหายากแต่ก็น่าจะประมาณ 7-8 หมื่นบาท
ตัวนี้มีกล่องแท้ เอกสารและเครื่องมือครบ
มีรอยบุ๋มตื้นๆหนึ่งรอยขนาดเท่าหัวไม้ขีดครับ (ตรงลูกศรชี้)
ขาย 58,000 บาท
กีตาร์ D'Aquisto ทั้งสองตัวขายเพราะบังเอิญมีรุ่นละสองตัวครับ
เพิ่งทราบว่าตอนนี้ทางเว็บให้โพสต์ใด้ไม่เกินวันละ 5 โพสต์ แต่ละโพสต์มีรูปใด้ไม่เกิน 20 รูป
วันนี้ผมโพสต์ไม่ใด้แล้ว คงจะอีกหลายวันกว่าจะลงรายละเอียดใด้ครบตรับ