Thread Rating:
  • 0 Vote(s) - 0 Average
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
ศุกร์ 13 ฝันหวาน
Author Message
Maow Offline
VIP member
******

Posts: 3,670
Likes Given: 53
Likes Received: 101 in 79 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 18
#47
RE: ศุกร์ 13 ฝันหวาน
น้า Karn ครับ จริงๆแล้วชีวิตนักเรียนไทยในอังกฤษ ก็ไม่ค่อยมีอะไรหรอกครับ คือเท่าที่ผมสัมผัสได้คือ มันแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจนคือนักเรียนที่เรียนที่ ลอนดอน กับนักเรียนที่อยู่เมืองต่างๆ ซึ่งโดยมากพี่ๆที่สถานทูตมักเรียกว่านักเรียนต่างจังหวัดครับ

ผมขออนุญาติกล่าวตามความคิดของผมนะครับท่านอื่นที่เคยไปเรียนมาอาจเห็นต่างแต่ก็มาแสดงความเห็นได้ครับ ตัวผมเป็นนักเรียนในต่างจังหวัดครับ อยู่ที่เมือง Leeds (เป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน แต่รองลงมาจาก Manchester, Bermingham แล้วก็เมืองอื่นๆ จำไม่ได้อยู่บริเวณตอนกลางค่อนไปทางเหนือ จึงเรียกแถบนี้ว่า แคว้น Yorkshire) ดังนั้นชีวิตความเป็นอยู่จึงค่อนข้างจะเรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นที่พักหรือการเดินทาง เพราะที่พักนักเรียนไทยที่เราไปเช่ากัน ก็ไม่ได้หรูหราอะไรมากมายเพราะเราต้องประหยัดเงินเอาไว้ซื้อกับข้าว ค่ารถเมล์ แล้วก็ค่าอุปกรณ์การศึกษาครับ ค่าที่พักก็แพงมาก เล็กๆ ไม่หรูหรา แต่พวกเราก็คิดเอาว่าเอาไว้เป็นที่ซุกหัวนอนสัก 2-3 ปี ครับ คนที่เมืองนี้ก็ค่อนข้างเป็นมิตรดีครับ คนเป็นระเบียบและค่อนข้างประหยัดโดยเพาะผู้สูงวัย ซึ่งเราอาจกล่าวได้ว่าพวกนี้คือ "ผู้ดีอังกฤษ" เพราะการแต่งตัวดูเป็นระเบียบ เข้าท่า พูดจากสุภาพ และกิริยามารยาทก็จะสุภาพ แต่ถ้าหากใครได้เจอกับคนรุ่นใหม่ของอังกฤษ อาจบ่นกับตัวเองในใจว่า นี่หรือคือผู้ดีอังกฤษ เพราะพวกนี้ค่อนข้างไม่มีมารยาท การแต่งตัวก็ดูไม่เรียบร้อยครับ ผมคิดเอาเองว่าอีกไม่นานผู้ดีอังกฤษก็คงไม่ค่อยเหลือแล้วถ้าคนรุ่นเก่าๆจากไป นักเรียนไทยที่นี่มีส่วนน้อยมากที่ซื้อรถไว้ขับเพราะเบี้ยประกันแพงมาก มีเพียงแค่ 1%เท่านั้นที่ซื้อรถครับ พวกเราใช้รถเมล์กับเดิน (เพราะต้องการประหยัดครับ) ผมรู้จักเด็กที่มาจากจุฬาหรือธรรมศาสตร์หรือที่อื่นๆ เด็กพวกนี้เป็นพวกที่มีอันจะกินพ่อแม่รวย แต่เด็กพวกนี้ใช้ชีวิตค่อนข้างประหยัด ไม่หรูหราฟู่ฟ่า บางครั้งยังตามผมไปทำงานที่ร้านอาหารไทยด้วย ซึ่งพวกเราก็จะได้ค่าทำงานรวม tip แล้วก็ประมาณ 40 ปอนด์ครับ ถ้าใครทำมากวันก็ได้มาก (ลองคูณเป็นเงินไทย แล้วเทียบกับเด็กล้างจานบ้านเรา มันต่างกันริบ แต่ค่าครองชีพที่นั้นก็สูงมากเช่นกันครับ) ที่อังกฤษไม่ค่อยมีที่ให้เที่ยวครับ มีแต่โบราณสถาน หรือพิพิธภัณฑ์เป็นหลัก ถ้าถามหาสวนสนุก ที่มีชิงช้า รถไฟเหาะ หรือสิงบันเทิงอื่นๆ แบบที่อเมริกามี อย่าไปถามถึง เพราะไม่มีให้ไปเที่ยว ทะเลก็อย่าได้ถามถึงเพราะไม่มีชายหาดสวยๆให้เดินทอดน่องเล่น ประเทศไทยยังมีสถานบันเทิงที่ดีกว่าและทันสมัยกว่าครับ แต่ที่อังกฤษมีวิว มีโบราณสถาน มีธรรมชาติที่ดีมากครับ เลยทำให้คนอังกฤษเวลามีเวลาว่างจากงาน หรือมีวันหยุด พวก resort หรือแหล่งที่เป็นธรรมชาติจะได้รับความนิยมมากครับ เช่นวัน Bank holiday ถ้าไม่จอง แต่ขืนไปหาเอาดาบหน้า ได้นอนข้างถนนครับ อากาศที่นี่ดีมากสดชื่น บรรยากาศทั่วไปใส เคลียร์ ดังนั้นเวลาถ่ายรูปออกมาแล้วจึงไม่แปลกว่าทำไมอุณหภูมิของแสงจึงเย็น และใส สวยงามครับ เขียนเล่ามาซะยาววกเข้ามาเรื่องเรียน นักเรียนที่นี่ไม่ค่อยได้มีเวลาไปเที่ยวเท่าไหร่เพราะงานที่อาจารย์สั่งให้ทำรายงานในแต่ละอาทิตย์เยอะมาก เพราะที่นี่มี Lecture นิดเดียวแล้วให้ชื่อหนังสือไปอ่านและค้นเองเพื่อทำรายงานส่งครับ เพราะฉะนั้นชีวิตนักศึกษาที่นี่จึงรักห้องสมุดและผูกพันกับสถานที่ๆนี้มาก ถือได้ว่าเป็นหัวใจของการเรียนก็ว่าได้ แม้แต่ supervisor ของผมก็ไม่เคยได้สอนอะไร เราต้องไปหาเอามาทำวิจัยเอง มีแต่หัวข้องานวิจัยให้ ส่วนนอกนั้นเป็นเรื่องของคุณ ผมจำคำพูดคำหนึ่งจากอาจารย์ของผม และไม่เคยลืมไปจากใจเลยคือ "Your Thesis, not my Thesis and Your PhD, not my PhD" พอได้ฟังเราก็ถึงบางอ้อว่า การเรียนแบบวิจัยที่นี่คือ จะมีคนถีบเราตกน้ำ แล้วให้เราหาทางว่ายหรือทำอะไรก็ได้ให้ช่วยชีวิตตัวเองให้ดำเนินไปถึงฝั่งให้ได้ (ผมว่าเป็นอะไรที่ท้าทาย น้ำตาตก เครียด แต่ทุกคนต้องผ่านให้ได้ครับ) มีนักเรียนไทยทั้งโททั้งเอกมาร้องไห้กับผมก็หลายคนเพราะเครียด ส่วนผมไม่ใช่ว่าเก่งครับ แต่น้ำตาก็พยายามเก็บไว้ข้างใน เพราะบางครั้งมันกดดันแบบที่ไม่เคยเจอมาก่อนสำหรับระบบการศึกษาที่เมืองไทยครับ เอาเป็นว่ากว่าจะจบก็....หึม... แต่พอย้อนดูเวลาที่เราได้ผ่านมามันเหมือนเป็นเรื่องตลก มันเป็นเรื่องที่เราทำได้ ทำสำเร็จ เพราะฉะนั้นเลยบอกตัวเองว่าถ้าคิดทำอะไร ต้องมีการวางแผน ต่อสู้อดทนจึงจะสำเร็จ ก่อนกลับ supervisor ก็มาพูดกับผมว่า รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างหละดีใจไหม ภูมิใจไหมที่ทำได้ด้วยตัวเอง.... ณ ขณะนั้นผมอยากบอกว่า ผมรักอาจารย์ ฉิบ...เลย เพราะถ้าเขาไม่ให้โอกาสในการคิด การลองผิด ลองทำ ความสำเร็จของเรา การเรียนรู้ของเราก็ไม่เกิด สำหรับนักเรียนไทยอื่นๆ ทั้งเรียนโท และเอก ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ภูมิใจมากที่ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง แบบที่อยู่เมืองไทยไม่เคยได้ทำมาก่อน" วันที่ผมรู้สึกดีใจ และโล่งที่สุดคือวันที่ผมก้าวขึ้นเครื่องบินของการบินไทย เพื่อบินกลับประเทศไทยครับ ผมอาจกล่าวได้ว่าชีวิตนักเรียนไทยในอังกฤษของผมและเพื่อนค่อนข้างเรียบง่ายไม่ฟู่ฟ่า ดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ซื้ออะไรมาต้องใช้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดครับ

ส่วนชีวิตนักเรียนไทยในเมืองหลวงคือลอนดอน ผมได้สัมผัสแต่เพียงผิวเผินครับ แต่เท่าที่สังเกตุตามประสานักวิทยาศาสตร์ก็พอที่จะบอกเล่าเป็นเรื่องได้ครับ นักเรียนที่นี่มีทั้งนักเรียนทุน และนักเรียนที่พ่อแม่ส่งมาเรียน ในส่วนของนักเรียนที่ได้ทุนมาค่อนข้างจะมีชีวิตทีเรียบง่ายอยู่อย่างประหยัด ทั้งค่าอาหาร ค่าเช่าที่พักซื้อแพงมั๊กๆ ค่าใช้จ่ายที่รัฐบาลให้ไม่ค่อยพอครับ เดือนชนเดือนเลย (เมื่อห้าปีที่แล้วคนอยู่ลอนดอนกับต่างจังหวัดได้เงินเท่ากัน ผมเลยเหลือเงินบานเลย แต่ปัจจุบันดูเหมือนทาง ก.พ. จะปรับให้คนที่อยู่ที่ลอนดอนให้มากกว่าแล้วครับ) จึงต้องประหยัดและใช้จ่ายอย่างประหยัดที่สุดครับ ที่ลอนดอนเรามักไปซื้อผัก เครื่องปรุงจากร้านคนจีนแถว โซโห (China Town ที่ลอนดอนครับ) ลืมบอกไปว่าเครื่องปรุงหรือผักล้วนแล้วมาจากประเทศไทยครับ ทั้งกะปิ ปลาร้า น้ำปลา จะเอาอะไรมีหมด ขนาดน้ำปลาหวานที่เป็นกระปุกยังมีขายเลย เอาเป็นว่ามีทุกอย่างที่เมืองไทยมี พวกเราเลยเปรม ไม่อดหยากครับ เพราะฉะนั้นอยู่ลอนดอนขอมีตังค์ รับรองสุขสบาย เพราะเป็นแหล่งชอปปิ้งที่หรู มากมายครับ แต่พวกนักเรียนทุนก็ต้องสำเนียกตัวเองว่าต้องประมาณตัวเองให้มาก เอาหละมาพูดถึงนักเรียนที่มาทุนส่วนตัวกันบ้าง พวกนี้ส่วนมาเป็นนักเรียนปริญญาโท และที่สำคัญคือปริญญาตรี เด็กเหล่านี้มาจากครอบครัวที่มีอันจะกิน หรือพูดตามภาษาง่ายๆคือพ่อแม่ โคตรรวย เด็กเหล่านี้มักใช้ชีวิตฟู่ฟ่า ส่วนมากจะมีรถ ของก็แบรนด์แนม (ผมแอบอิจฉาเล็กๆ) แม้แต่จากัวร์ X-type เด็กเหล่านี้ก็ถอยมาขับกันได้ครับ ที่พักก็แสนจะดีอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน หรือแถบคนรวยอยู่ (ผมจำชื่อแถบนั้นไม่ได้ครับ) ไม่เหมือนกับนักเรียนทุนที่ถูกเบียดตกขอบต้องออกไปอยู่รอบๆเมือง ที่ลอนดอนบริเวณกลางกรุงเป็นที่นิยมของนักการเมืองไทยไปซื้อบ้านไว้หลายท่านครับ คงไม่ต้องบอกว่าหนึ่งในนั้นคือใคร เด็กๆที่มาเรียนโท และตรี ส่วนใหญ่ที่ผมเจอมักใช้ชีวิตเกินความพอเพียงไปมากพอควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เป็นความพอใจของเขา เราไม่เกียว เคยมีเพื่อนของผมที่ลอนดอนเล่าให้ฟังว่า มี Pub หนึ่ง คล้ายกับว่าจะเป็น pub ของเด็กไทยไปซะแล้ว เพราะเด็กไทยจะไปมั่วสุมกันที่นี้ (อันนี้คงต้องถามคุณ Jeab สมาชิกของเราว่าข้อมูลนี้ถูกต้องหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คุณ Jeab น่าจะต้องรู้จักร้านอาหารไทยที่ โอ๊ค พานทองแท้ และลูกชายของพายัพ ชินวัตร รวมถึงลูกนักการเมืองคนอื่นไปใช้บริการมั่วกันบ่อยๆจนดึกจนดื่น)

เล่ามาซะยาวคนอ่านอาจเบื่อ ขอสรุปว่าชีวิตนักเรียนไทยส่วนใหญ่ในอังกฤษค่อนข้างมีความเรียบง่ายครับ ไม่มีอะไรปรุงแต่งมากมาย เสียดายที่ผมไม่ทราบว่าน้า Karn จะไปอังกฤษโดยเฉพาะลอนดอน ไม่งั้นจะให้เข้าไปที่สถานทูตทางการศึกษาอยู่ที่ย่าน Kensington จะได้เข้าไปดูบรรยากาศ และรูปภาพเก่าๆ ของรัชการที่ 5 ที่ถ่ายรูปร่วมกับนักเรียนทุนสมัยเก่าๆ รวมถึงบรรยากาศก็ขลังมากด้วยครับ และถ้าดูในภาพนั้นแล้ว เราจะรู้สึกได้ทันทีว่า นามสกุลนี้มัน..... คุ้นๆ และเป็นนามสกุลผู้ดีเก่า อย่างไม่มีข้อน่ากังขาเลยครับ ถ้าได้ไปคราวหน้าอย่าลืมไปที่สถานทูตนี้นะครับ เพราะเขาต้อนรับคนไทยทุกคน มีที่พักให้ด้วยคืนละ 20 ปอนด์ ตอนเช้ามีข้าวต้ม ให้ด้วยครับ
แล้วคุณจะรู้สึกเหมือนกับว่า ห้องแถวแคบๆ เก่าๆ ขลังๆ ของสถานทูตที่นี่มันมีมนต์ มีความอบอ่นเหมือนเราได้กลับสู่ผืนแผ่นดินไทย

วันที่ผมกลับขณะเครืองบินกำลังบินกำลังลดระดับลงที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ผมเห็นทุ่งนา ทุ่งหญ้า ไกลสุดลูกหูลูกตา ผมแทบกลั่นน้ำตาไม่อยู่ ตาของผมปริ่มๆด้วยน้ำตา (ขณะพิมพ์นี่ผมยังขนลุกเลย) แล้วบอกตัวเองว่าดีใจที่ได้กลับสู่ผืนแผ่นดินไทย ไม่มีที่ไหนสบาย อบอุ่นเท่าที่เมืองไทยอีกแล้ว แต่ไหงปัจจุบันนี้มีแต่นักการเมือง และคนที่จ้องทำลาย และหากินเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง กับประเทศแม้ที่ชุบเลี้ยงเขาจนเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน..... ผมละเศร้าใจจริงๆ....
"สำนึกในแผ่นดินถิ่นเกิดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของความเป็นคนไทย"
20-06-2008, 12:45
Find Like Post Reply


Messages In This Thread
RE: ศุกร์ 13 ฝันหวาน - by Maow - 20-06-2008, 12:45

Forum Jump:


Users browsing this thread: 12 Guest(s)

Contact Us | NimitGuitar | Return to Top | | Lite (Archive) Mode | RSS Syndication