ประวัติ
Guild ถือกำเนิดมาในยุคของกีต้าร์ไฟฟ้า ดังนั้น Guild เลยไม่ทำ acoustic
archtop(ยกเว้นรุ่น A50) แต่ไปเน้น flat top อย่างเดียวเลย เมื่อขาใหญ่คือ
Epiphone เจ๊งไปก็เลยเหลือแค่ Guild และ Gretsch ที่เป็นคู่แข่งของ Gibson
ในตลาด hollow body
ต่อมาเมื่อ Gretsch เลิกทำกีต้าร์ในปี 1980 ตลาด electric archtop ของอเมริกา
ก็เลยเหลือแค่ Gibson กับ Guild ซึ่งทั้งสองบริษัทก็ผลิตอยู่ไม่กี่รุ่นเพราะตอนนั้น
ไม่มีคนซื้อครับ จนมาถึงยุคต้น 90's ตลาดเริ่มฟื้นทั้งสองเจ้าจึงใด้ผลิตรุ่นใหม่และ
reissue รุ่นเก่าแก่ทีเลิกผลิตไปออกมาขายใหม่
บริษัทที่อาภัพในเรื่องของ hollow body ตลอดมาคือ Fender ครับ ในยุค 50's
นั้น Fender ตี Gibson กระจายในตลาด solid body แต่ Fender ทำ archtop
ไม่เป็น ในปี 1962 Fender เลยลงทุนสร้างโรงงานใหม่ที่ Fullerton เพื่อผลิต
กีต้าร์โปร่งและ electric archtops และไปจ้างช่างเยอรมันชื่อ Roger Rossmeisl
มาออกแบบและควบคุมการผลิต
ตา Roger แกก็ออกแบบกีต้าร์โปร่งมาหลายรุ่นแต่ขายไม่ออกเพราะดันทะลึ่งไปใช้ bolt-on neck ส่วนกีต้าร์ไฟฟ้าก็มีรุ่น Coronado, Montego, LTD ที่ใช้
bolt-on neck เหมือนกันและก็ขายไม่ออกเหมือนกัน
Fender นั่งเลียแผลอยู่เป็นสิบปี พอ CBS ขายบริษัทคืนให้กลุ่มผู้บริหารก็เลยไป
ชวนช่างทำ archtop ชั้นเทพคือตา Jimmy D' Aquisto มาออกแบบให้แต่คงลืมไปว่าช่างของตัวเองทำไม่เป็นเลยต้องให้ Fender Japan เป็นคนทำให้อยู่อีกสิบปี
และย้ายมาผลิตที่ Fender custom shop ในปี 1994
นับว่าเป็นคราวซวยของตา Jimmy ที่ต้องมานั่งสอนให้ช่างของ custom shop
ทำกีต้าร์ archtop หลังจากนั่งตีพุงรับค่าที่ปรึกษามาสบายฯอยู่เป็นสิบปีเพราะ
โรงงาน Fuji Gen น่ะเขาทำ archtop เก่งอยู่แล้วจากการผลิต Ibanez Jazz
series
Jimmy D' Aquisto หัวใจวายตายที่หน้าโรงงาน Fender custom shop ในปี 1995 นับเป็นเหยื่อรายที่สองหลังจาก Roger Rossmeisl ดื่มเหล้าจนตับแข็ง
ตายไปเพราะความผิดหวัง
Fender จึงตั้งความหวังไว้สูงว่า Guild electric archtops คงจะกอบกู้ชื่อเสียง
กลับมาใด้หลังจากเข้าไป take over Guild ในปี 1995
ในตอนนั้น Guild มีกีต้าร์ไฟฟ้าเหลืออยู่ในสายการผลิตเพียงสี่ห้ารุ่นเพราะเป็น
ยุคทองของกีต้าร์โปร่งที่ถูกจุดประกายโดย MTV Unplugged กีต้าร์ตัวแรกที่
ผมมีก็เป็นตัวหนึ่งในยุคนี้ครับ
1995 X-170 Manhattan
ปิ้คอัพเป็น humbucker ของ Guild สองตัวไม่มีชื่อรุ่นเพราะมีอยู่รุ่นเดียว
ตัวนี้ body หนา 2 1/2" ไม่ซ้ำกับ Gibson hollow bodies
คอเป็น maple สามชิ้นครับ
เจ้า X-170 Manhattan ผลิตที่โรงงาน Westerly ครับ
ความหวังของ Fender ที่จะทำกีต้าร์ hollow body ก็ถูกจุดประกายขึ้นมาอีก
ครั้งหนึ่ง Fender จึงให้ Guild ผลิตรุ่น reissue ออกมาอีกหลายรุ่นอย่างเช่น
Starfire III, IV, X-150 Savoy, X-700 Stuart เป็นต้น
ในปี 1999 Fender ก็ไปจ้างเซียน archtop คือตา Bob Benedetto มาเป็นที่
ปรึกษา ตา Bob ก็ออกแบบปรับปรุงใหม่หมดสองรุ่นคือรุ่น X-700 และ
Artist Award พอโรงงานที่ Westerly ปิดตัวลง Fender เลยมอบหมายให้
Fender custom shop ที่ Corona เป็นผู้ผลิตกีต้าร์ไฟฟ้าของ Guild โดยมี
ตา Bob เป็นคนควบคุม
ตัวแรกๆที่ออกมาจาก Fender Custom Shop คือ lot ที่เอาไปโชว์ใน NAMM
ปี 2002 แล้วขายให้ dealer ผมไปตื้อมาใด้ตัวนึงครับ
2002 STARFIRE III (Show sample)
ตัวนี้ลำต้วหนา 2" เท่ากับ Gibson ES-335 แต่เป็น hollow body ไม่มีไม้ตรงกลางเลยเบากว่า Gibson เยอะ case ใช้ของ G&C ที่ Fender custom shop
ใช้เพราะตอนนั้นยังไมใด้ทำ case ปัมป์ตรา Guild เลย
ตัวนี้เป็นตัวที่ 11 ที่ออกมาจาก custom shop ป้ายสีขาวเป็น factory
tracking number ที่ติดไว้กับกีต้าร์โชว์ที่ต้องร่อนเร่พเนจรไปทั่วอเมริกา
รุ่นนี้มี Bigbys ติดมาจากโรงงานครับซึ่งแปลกดีเพราะตามปกติเขาไม่เอา
มาใส่ใน hollow body กัน
2005 X-150D Savoy
Guild ตัวนี้น่าจะเป็นล้อตท้ายฯของ Corona Guild และเป็นการปิดตำนาน
ของ electric Guilds ด้วยเพราะไม่มีการผลิตอีกต่อไปหลังจากปี 2005
รุ่นนี้มีทั้งแบบ pickup เดียวและสอง pickup ครับ
กล่องเป็นยีห้อ TKL เจ้าเก่าติดตรา Guild ครับ
ความหนาลำตัว = 3" หนาเท่ากับ Gibson ES-175
Headstock ยุคหลังไม่มีแสตมป์ว่า Made by Fender in Corona แล้วครับ
Guild ไฟฟ้าคงจะไม่มีอีกแล้วนอกจาก Fender จะตั้งสายการผลิตใหม่ที่
โรงงาน Hamer custom shop ที่เพิ่งใด้แถมมากับโรงงาน Ovation ยังไง
ก็ต้องรอลุ้นต่อไปครับ
เป็นอันว่าจบก่อนแค่นี้ครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านครับ