ผมลองนึกๆดูว่า เคยมีประสบการณ์อะไรน่าสนใจที่พอจะเก็บมาเล่ากันได้บ้าง
คิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่น่าจดจำและคงไม่มีโอกาสบ่อยๆ ลองดูนะครับ
------------------------
มันเป็นวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ปี 2003 น่าจะเป็นวันเสาร์
Roommate ผม ซึ่งเป็นคริสเตียนชวนผมไปร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆที่โบสถ์ของเขา
กิจกรรมที่ว่า คือ ซื้อโดนัท, ขนมปัง, แยม มาทำแซนวิช แล้วไปเดินตระเวนแจกให้กับพวก homeless หรือ คนจรจัด ในย่านดาวทาวน์ของลอส แองเจลลิส
ผมเห็นว่า เป็นกิจกรรมที่เปิดหูเปิดตาดี แล้วยังได้ลองถ่ายรูปแนว street life ด้วย เลยตกปากรับคำอย่างง่ายดาย
เรามีกันประมาณ 15 คน เริ่มทำแซนวิชกันตั้งแต่เช้าตรู่ มาเสร็จเอาสายๆ หลังจากนั้นก็เริ่มวางแผนแบ่งโซนกันว่าใครจะไปแจกตรงจุดไหน โดยแบ่งไปกลุ่มละ 2-3 คน
พวกโฮมเลสพวกนี้อยู่กระจัดกระจายทั่วไป, มักจะเข็นรถเข็นที่ขโมยมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเอาไว้เก็บสมบัติไม่กี่ชิ้นของตัวเอง
พวกเขามีกันหลายเชื้อชาติ หลากที่มา บ้างก็ถูกลูกหลานทิ้ง บ้างก็ตกงาน บ้างก็สติไม่ดี
ไม่มีใครปฏิเสธอาหารเล็กๆน้อยๆที่พวกเราเอาไปแจก เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับมื้อต่อไป
ทุกครั้งที่จะถ่ายภาพพวกเขา ผมจะขออนุญาตก่อน หลายๆคนไม่ยอมให้ถ่าย เพราะอับอายในสถานภาพของตัวเอง
แต่คุณป้าคนหนึ่งคงเป็นข้อยกเว้น ผมถ่ายมาหลายรูป เพราะแกชอบให้ถ่ายรูปมากๆ โพสต์ท่านั้นท่านี้แล้วก็บอกให้ถ่ายอีกๆ
แกบอกว่า แกเป็นดาราฮอลลีวู้ด รู้จักคนโน้นคนนี้มากมาย แต่โดยรวมแล้ว แกพูดจาวกวนไม่ค่อยได้ใจความนัก
ป้าแกเป็นคนสนุกสนาน ยิ้มแย้มแจ่มใส ตอนคุยเล่นกันก็เพลินดี แต่ย้อนกลับมานึกๆดูแล้ว ชีวิตแกน่าสงสารมาก
แววตาหม่นเศร้าขณะที่เราเดินจากมา เหมือนจะเป็นช่วงเวลาเดียวที่สะท้อนความจริงในชีวิตเธอ
ในมหานครที่จัดว่า มีคนพลุกพล่านที่สุดเมืองหนึ่งของโลก มีความทันสมัยไม่แพ้เมืองไหนๆ
ท่ามกลางฝูงชนที่เดินไปมาอย่างเร่งรีบ..สำหรับคนเหล่านี้ ทุกนาทีล้วนมีค่า....
ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่ค่อยๆเดินเข็นรถเข็นอย่างช้าๆ เพราะการถึงที่หมายเร็วขึ้นไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขา ...และบางคน..อาจจะไม่มีแม้แต่ที่หมาย
ภาพที่ขัดแย้งอย่างสุดขั้ว ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ช่องว่างระหว่างผู้คน คงแปรผันไปตามขนาดของเมืองกระมัง....
........
สมัยก่อน ผมชอบแต่งกลอน แต่งโคลง เย็นนั้นก็เลยลองแต่งกลอนประกอบภาพที่ถ่ายมา
กลับมาอ่านดูอีกที รู้สึกขัดๆอยู่บ้างเลยจับมาเกลาสักหน่อย
ลองดูครับ
-----------------
๑.
หมู่ตึกสูงรุ่งเรืองในเมืองใหญ่
รถขวักไขว่แลมองเต็มท้องถนน
เดินพลุกพล่านดาษดื่นคือคลื่นคน
ต่างดิ้นรนเพื่อชีพยังประทังกาย
๒.
ยังมีคนซ่องสุมตามมุมอับ
ความหวังลับเวลาหยุดไร้จุดหมาย
ไม่เร่งร้อนนอนเปลี่ยวเดี่ยวเดียวดาย
ซังกะตายเรื่อยเรียงเพียงผ่านวัน
๓.
เธออาจเคยมีฝันอันเพริศแพร้ว
วิมานแก้วแวววาวดาวสวรรค์
อยากจะเป็นดาวเลิศเจิดจรัล
ในความฝันเธอเปล่งแสงแรงกว่าใคร
๔.
แต่เคราะห์ซ้ำกรรมใดอะไรหรือ
ที่ฉุดยื้อทางฝันอันยิ่งใหญ่
วิมานแก้วแววแววอยู่ไกลไกล
ล่องลอยไปลับเร้นมิเห็นแล้ว
๕.
ไม่รับรู้สู้ความจริงที่หักเห
ด้วยทุ่มเทชีวิตและจิตแน่ว
ฉันเป็นดาว..ฉันคือดาว..ส่องพราวแพร้ว
ยังวับแววอยู่ในฝันของฉันเอง
๖.
หนาวทั้งกายหนาวทั้งใจในคืนหนาว
ซ้ำบางคราวถูกทับถมคนข่มเหง
เพลงชีวิตบทนี้ใครบรรเลง
มันครื้นเครงหวาหวือนักหรือไร
๗.
ขออาหารแค่ขอพอประทัง
ไม่ขอหวังหยูกยาที่อาศัย
ผ้าบางบางเหม็นหม่นก็ทนไป
แค่หายใจข้ามราตรี....นี่แหละกู!
๘.
รถเข็นหนึ่งให้ลูกเล็กยังเด็กนัก
อีกหนึ่งหนักของใช้ไว้ดิ้นสู้
สามชีวิตฝากท้องต้องเลี้ยงดู
เธอต้องอยู่ป้องปวงยอดดวงใจ
๙.
ณ วันนี้ สามพี่น้องล้วนท้องอิ่ม
เธอแย้มยิ้มให้วันนี้ที่ฟ้าใส
พรุ่งนี้ฟ้า..ลิขิตเล่นเป็นเช่นไร
เธอหวังไว้เพียงแค่..ไม่แย่กว่านี้
๑๐.
คือเรื่องราวที่เขียนสร้างจากข้างถนน
เล่าเรื่องคนเคว้งคว้างไร้ทางหนี
สวรรค์แกล้งเล่นล้อเกินพอดี
มอบเพียงที่-นอนทน....ให้พ้นวันฯ
--------------
ยินดีน้อมรับทุกความเห็นครับ