(12-05-2009, 02:44)napman Wrote: Part 3 (Finale)
5) So again ?DO IT NOW?, am I yelling loud enough???? DOOOO ITTTTT NOOOOOOOWWWWWW!!!!!!!!
หลายๆ คนที่ประสบความสำเร็จในการได้ทำสิ่งที่ฝันมักมีทัศนคติแบบนี้จริงๆ ค่ะ ขอบคุณน้า napman ที่มา remind เรื่องนี้อีกครั้ง และขอชื่นชมในความกล้าหาญที่นำเรื่องราวส่วนตัวมาแบ่งปันเพื่อสร้างสังคมของการเรียนรู้ แม้ว่าบางเรื่องต้องเสี่ยงกับความเจ็บปวดจากการเปิดปากแผลเก่าๆ ...คารวะหนึ่งจอกคงไม่พอแล้วหละค่ะ
napman Wrote:Last one for now, I'd like to admire whoever named Muk-apa. It's such an outstanding and fascinated name to say the least even if I don't really know what her name supposed to mean!!
ส่วนคำถามนี้...มีคนส่งสัญญาณว่าให้มาตอบเองค่ะ
Muk-apa เป็นการเขียนชื่อตัวเองอย่างมักง่ายนิดหน่อย(ไม่ได้เขียนโดยยึดหลักการถ่ายตัวอักษรตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถาน) มาจากชื่อภาษาไทย มุกอาภา แปลว่า มุกที่ส่องแสงสว่าง ..คุณแม่เป็นคนตั้งและเข้าใจว่าท่านคงไม่ได้อยากจะให้อยู่ในรูปของ past tense (ส่องแสงหมดไปเรียบร้อยแล้ว..อิอิ..)
เคย search ใน google พบว่าน่าจะเป็นคนไทยคนแรกที่มีชื่อนี้ เพราะที่เหลือดูจะอายุประมาณรุ่นลูกทั้งนั้น
ข้อดี คือ รู้สึกภูมิใจว่าแม่เราคิดได้ไงเนี่ย แต่ข้อเสียคือเวลาจะทำอะไรที่ต้องแจ้งชื่อ พอบอกว่าชื่อมุกอาภา คนฟังจะต้องถามว่า "อะไรนะ ??" ทำให้ต้องพูดซ้ำหลายครั้งหรือสะกดให้ฟังเลยก็มี ทุกวันนี้เวลาไปทานข้าวกลางวันข้างนอกกับเพื่อนๆ ที่ทำงาน ก็จะจองโต๊ะและสั่งอาหารโดยใช้ชื่อเพื่อนที่ฟังง่ายๆ อย่างเช่น สมพร หรือ ณรงค์ ...ได้ผลนะคะ...เพราะเวลาบอกชื่อนี้ไม่เคยมีใครถามซ้ำซักที
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าตั้งชื่อลูกยากเกินไป แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรหาเพื่อนสนิทที่มีชื่อเรียกง่ายๆ ไว้ใกล้ตัว