ข่าวดี...โปรโมชั่น จาก Lucky music ครับ

[pood]

ราคาอเมริกาสู้ไม่ใหวก็ไม่เป็นไรครับเพราะเราอยู่เมืองไทยนีนา แค่เจอภาษีก็เข้าไปหลายตังค์แล้ว
แต่ถ้าเป็นราคาของตัวแทนอื่นที่เห็นเขาลดตั้ง 25% นี่สู้ใหวใหมครับ

[~Luzefer~]

อิอิ สบม. ครับ ยกตัวอย่างเช่น LX-1 23,000 ลดเหลือ 17,250 ผมโปรโมชั่นเงินสดอยู่ 11,000 บาท แบบนี้ต้องเรียกว่า ประหยัดกว่า 6,250 บาท ทีเดียวเชียว~ >_<"

[Kitja]

/// ฮูหยินผมบอกว่า "ให้ตัวสุดท้ายแล้วนะ" ผมเลยตอบว่า "อะเค" เลยได้ HD-28VE มาจากอ้อมอกอันอวบอิ่มของน้ายอดจุ๊

/// ว่าแต่ว่า ตัวที่ผมนั่งกอดอยู่ ค่าตัวเท่าไรครับ น้าปู๊ด

[pood]

ราคาตั้งถูกกว่า HD-28VE 569 เหรียญ($3,649-$4,218) ครับ ราคาขายต้องถามน้าลูครับ
รุ่นนี้ถ้าสั่งอาจรอนานหน่อยเพราะผลิตไม่ทันขาย

[เฒ่าทารก]

ราคาตั้งถูกกว่า HD-28VE 569 เหรียญ($3,649-$4,218) ครับ ราคาขายต้องถามน้าลูครับ
รุ่นนี้ถ้าสั่งอาจรอนานหน่อยเพราะผลิตไม่ทันขาย

.....งั้นผมขอถามอากฤษณ์ตรงนี้เลยนะครับว่า ตัว DC ที่เป็น cutaway เสียงออกมาจะเป็นยังไงครับ ผมกำลังตัดสินใจ DC กับ OMC อยู่น่ะครับ เคย pm ไปหาน้ายอดจุ๊ถามข้อมูลมาบ้าง ก็เลยอยากจะทราบจากอากฤษณ์อีกคนนึงน่ะครับ ขอบพระคุณครับ

[.::.pOoH.::.]

น้าลูฯสุดยอดจริงๆ ยั่วยวนกันสุดๆกับราคา The Cheapest price on this planet!

มีเต้นจ้ำบ๊ะโชว์ด้วยหรือเปล่าครับ

[pood]

เรื่องเสียงของ Martin นี่ถ้าจะบอกว่าเป็นยังไงก็คงต้องอ้างอิงประวัติของ Martin ครับ

Martin เคยเป็นกีต้าร์อันดับหนึ่งของโลกมาร้อยกว่าปีแต่พอมาถึงยุค 90's ก็โดน Taylor เบียดมาติดฯ
Chris Martin จึงต้องหาทางแข่งกับ Taylor ดังต่อไปนี้

1. Martin ไม่เคยเปลี่ยนวิธีการผลิตมาเป็นร้อยปีแล้ว ในขณะที่ Taylor ไม่มี Taylor sound มาก่อนจึงสามารถ
ใช้วิธีการผลิตที่ทันสมัยกว่าและถูกกว่าใด้ Martin ยังใช้ dovetail neck joint ที่ต้องอาศัยความชำนาญของช่าง
ในการประกอบขณะที่ Taylor ใช้ bolt-on neck ที่ถูกและเร็วกว่าเยอะ

Martin จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี่สมัยใหม่มาช่วยในการผลิตถ้าต้องการแข่งกับ Taylor ในด้านราคา ดังนั้นจึงใด้มีการค้นคิด
Mortise & tenon joint ที่ใช้เลเซอร์วัดและเจาะน้อตร้อยใด้ แต่ตอนประกอบก็ยังใช้กาวติดอยู่เพื่อคงความเป็น Martin ใว้
ส่วน Martin ที่ยังใช้ dovetail joint ก็เรียกใหม่ว่า standard series เพื่อเอาใจลูกค้าเก่าที่ต้องการ traditional sound

การต่อคอแบบใหม่นี่มีพื้นที่สัมผัสระหว่าง heel กับ neck block มากขึ้นจึงแข็งแรงกว่า แต่ก็ไม่เยอะเหมือน Taylor ยุคแรกฯที่
มีมากไปจนเกิดปัญหาคอบวมเวลาเจออากาศชื้นในเมืองไทย

2. Neck joint ที่แข็งแรงขึ้นทำให้ Martin สามารถเอา top brace ที่เรียกว่า popsicle bar ออกใด้และเปลี่ยนเป็น A-frame
แทนใน bracing ยุคใหม่ที่ Martin เรียกว่า hybrid bracing ยังมีการลดขนาด side braces เพื่อให้เสียงแหลมโปร่งใสขึ้นตาม
สไตล์ของ Taylor แต่ยังคงความหนักแน่นของเบสใว้ตามสไตล์ Martin



สรุปใด้ว่า Martin มีเสียงสองสไตล์ครับคือ Modern และ Traditinal Martin custom shop ส่วนใหญ่จะเป็นสไตล์ modern
นอกจากรุ่นที่มีตัวเลข 18, 21, 28, 35, 40, 41, 42, 45 อยู่ในชื่อรุ่น อย่างน้าเฒ่าทารกนี่คงชอบเสียงสไตล์ modern มากกว่า
มั้งครับเพราะเคยลองทั้ง HD-28 และ D-custom มาแล้วแต่กลับชอบตัวหลังมากกว่า

Modern Martin นี่คือตัวการที่ปลุกชีพ Martin เลยนะครับเพราะ Martin ใช้เวลา 161 ปี (1833-1994) ในการผลิตกีต้าร์ห้าแสนตัว
แรกแต่ใช้เวลาแค่ 11 ปี (1994-2004) ในการผลิตห้าแสนตัวหลัง

อย่าไปสนใจเรื่อง cutaway เลยครับเสียงมันไม่ใด้แตกต่างกับรุ่นที่ไม่มีหรอก ลองเสียงหลายฯตัวก่อนจะใด้รู้ว่าเราชอบเสียงสไตล์ใหน
ถ้าชอบสไตล์ modern ก็ประหยัดเงินใด้เยอะ

ถ้าเอา DC Aura กับ HD-28V ไปให้ชาวบ้านดูแล้วบอกเขาว่าตัวหลังแพงกว่าต่อให้อมพระมาพูดเขาก็ไม่เชื่อหรอก

[เฒ่าทารก]

...กราบขอบพระคุณอากฤษณ์เป็นอย่างสูงเลยครับ ได้ความรู้แน่นเข้ามาอีกเยอะเลยครับ ผมจดบันทึกในสมุดซะเรียบเลย ขอบพระคุณอีกครั้งครับพ้ม!!!

[Teera]

มาเล่าเสริมครับ
เรื่องเสียงผมชอบ Martin มากกว่า Taylor แต่ชอบ Taylor เรื่องความช่างคิด และทันสมัย (ยกเว้น ES System ที่ผมถือว่า Taylor ล้มเหลว อาจเป็นเพราะว่าผมใช้ไม่เป็นก็ได้)
เรื่องคอเป็นปัญหาใหญ่ของการต่อคอแบบโบราณ เพราะ OOO-28EC ของผม อายุยังไม่ถึง 5 ปี ต้องเอาไป Reset neck แล้วครับ เพราะมันใช้งานหนัก เล่นเยอะ และวางอยู่นอกกล่องตลอดเวลา เจอสภาพอากาศตาม Pup ต่างๆ ช่างบอกว่า ใช้งานหนัก และเก็บไม่ดี ห้องอาจชื้น ผมได้แต่ปลงครับ แต่ผูกพันกับกีตาร์ตัวนี้มากๆ

และ ชอบเสียง Martin Style มากๆ ที่ขาย Song Writer ก็เพราะอยากได้ Martin เพิ่มนี่แหละครับ

[.::.pOoH.::.]

มีใครเบื่อ Lowden อีกไหมครับ เพราะผมชอบเสียง Lowden Style มากๆเช่นกัน

กลัวว่าถ้าไม่โลภมาก ลาภจะไม่ได้นะซี!