Thread Rating:
  • 1 Vote(s) - 5 Average
  • 1
  • 2
  • 3
  • 4
  • 5
กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
Author Message
plankton Offline
Member
***

Posts: 202
Likes Given: 0
Likes Received: 1 in 1 posts
Joined: 08 Mar 2010
Reputation: 1
#11
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
ความรู้ใหม่

ขอบคุณน้ากฤษณ์มากครับ
06-06-2010, 12:24
Find Like Post Reply
newkaset Offline
Junior member
**

Posts: 48
Likes Given: 0
Likes Received: 0 in 0 posts
Joined: 30 Mar 2010
Reputation: 0
#12
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
ขอบคุณน้า pood มากครับผม ผมรักน้าจริงๆๆ น้าเป็นคนที่มีเรื่องราว สนุกชวนให้น่าติดตามตลอดเวลา ครับผม ^^
(This post was last modified: 07-06-2010, 00:58 by newkaset.)
07-06-2010, 00:58
Find Like Post Reply
pood Offline
VIP member
******

Posts: 6,313
Likes Given: 13
Likes Received: 390 in 213 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 77
#13
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
YAMAHA L-SERIES


กีต้าร์สายเหล็กรุ่นแรกๆของยามาฮ่านั้นผลิตออกมาเพื่อขายในราคาถูก มีรุ่นเดียวที่เป็น solid top คือรุ่น FG500 ต่อมาในปี 1971 จึงเริ่มมีรุ่นแพงซึ่งผลิตใน Custom Shop ออกมาวางตลาดอย่างเช่น FG1500, FG2000 เป็นต้นแต่รุ่นแพงๆผลิตอยู่แค่สองสามปีเท่านั้น

[Image: yama01.jpg]


ในยุคต้น '70s นั้นกีต้าร์โปร่งยามาฮ่าเริ่มเป็นที่รู้จักของคนอเมริกัน Yamaha เป็นผู้บุกเบิกในการหาศิลปินดังๆให้มาช่วยในการออกแบบและเล่นกีต้าร์ Yamaha บนเวทีซึ่งแผนการตลาดแบบนี้บริษัทอเมริกันเขาไม่ยอมทำกันเพราะกลัวเสียภาพพจน์ ศิลปินเหล่านี้ "จ้าง" ไม่ใด้นะครับแตทางโรงงานเขาจะส่งกีต้าร์ต้นแบบมาให้ลองและขอความเห็นว่าต้องการให้ปรับปรุงอะไรบ้าง บางครั้งเขาก็เชิญไปที่ญี่ปุ่นโดยออกค่าใช้จ่ายให้ เนื่องจากวงการเพลง acoustic สมัยนั้นยังไม่กว้างนัก พวกศิลปินก็มักเอา Yamaha ตัวใหม่ไปอวดเพื่อนฝูง ใช้เวลาแค่ปีสองปีก็มีศิลปินดังๆเล่น Yamaha รุ่นเอาใจอเมริกันคือ L series กันให้เกลื่อนเมือง

Yamaha L-series เป็นกีต้าร์ที่แตกต่างกับ FG series ค่อนข้างมากครับ เริ่มด้วยการใช้ scalloped bracing และเพิ่มความยาว scale จาก 25" เป็น 25.56" คอมีขนาดอ้วนขึ้นเพราะฝรั่งมือใหญ่กว่าคนเอเชีย เสียงย่าน midrange เบาลงแต่ย่านเบสลึกขึ้น L-series เริ่มวางตลาดปี 1975 และถูกแทนที่ด้วย LL series ประมาณปี 1986 ครับ

[Image: yama02.jpg]



[Image: yama3.jpg]

ศิลปินดังที่ใช้ L-series ก็มี James Taylor (L55 Custom) และ Paul Simon (L52 Custom) ในปี 1975 ส่วน John Denver นั้นเริ่มใช้รุ่น L-53 Custom ในปี 1977 ครับ ผมเองก็เป็นแฟนของ Yamaha L-series เหมือนกันเพราะผมว่ายามาฮ่าในยุคนั้นเขาทำงานปราณีตและใช้วัสดุคูณภาพดีเยี่ยม พวก L-series โดยเฉพาะรุ่นแรกๆนี่ผมเคยเห็นที่สภาพยังเหมือนกีต้าร์ใหม่ๆอยู่หลายตัวครับ
07-06-2010, 13:45
Find Like Post Reply
Tai Labour Offline
ป๊อก8 2 เด้ง
******

Posts: 3,576
Likes Given: 47
Likes Received: 38 in 29 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 38
#14
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
ล้ำค่า น่าเก็บเข้าคลังกระทู้ จริงๆ...Big Grin
============ เพื่อความบันเทิง =============

07-06-2010, 14:12
Website Find Like Post Reply
pood Offline
VIP member
******

Posts: 6,313
Likes Given: 13
Likes Received: 390 in 213 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 77
#15
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
YAMAHA CJ SERIES, "The dawn of Acoustic Rock"

เมื่อเอ่ยถึง "acoustic rock" คนส่วนใหญ่คงนึกถึงกีต้าร์ Takamine แต่ในยุค '70s นั้นผู้บุกเบิกเจ้าแรกก็คือ Yamaha ครับ ตอนนั้นศิลปินคนแรกที่ cross over มาจากเพลง folk มาเป็นเพลงป้อปร้อคก็คือ Paul Simon กีต้าร์โปร่งที่เขาเริ่มใช้ในปี 1975 ก็คือ Yamaha CJ52 Custom



Paul Simon เป็นคนเพื่อนเยอะครับ พอเขาเริ่มใช้ Yamaha CJ series เพื่อนๆอย่างเช่น Jimmy Page และ Bruce Springsteen ก็เลยเอามาใช้บ้าง Jimmy นั้นยังคงใช้อยู่จนถึงทุกวันนี้แต่ไปลอก pickguard ขาวทิ้งแล้ว



Bruce Springsteen "Born to Run" (1987)




ศิลปินอีกคนที่หลงไหล CJ ก็คือ John Lennon ในปี 1977 เขาแวะไปเยี่ยม Yamaha custom shop พร้อมกับภาพร่างของ CJ52 ที่เขาต้องการให้ทางโรงงานทำให้ กีต้าร์ของ Lennon เป็นกีต้าร์โปร่งที่แพงที่สุดที่ Yamaha custom shop เคยทำครับแต่เขาไม่ใด้เปิดเผยราคา

[Image: yama04.jpg]

พอมาถึงยุคปลาย '70s นั้นเสียงของกีต้าร์ก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงของเครื่องเป่าและ synthesizer บริษัทที่ผลิตกีต้าร์ขายเป็นรายใด้หลักตอนนั้นถ้าไม่เจ๊งก็เกือบเจ๊งครับไม่ยกเว้นแม้แต่ Martin ส่วน Yamaha นั้นเขาครองตลาด synthesizer อยู่แล้วก็เลยสบายตัวไป ยุคทองของกีต้าร์โปร่งและ acoustic rock มาเริ่มต้นในใหม่ปี 1988 ด้วยรายการ MTV Unplugged ซึ่งพระเอกของเรื่องไม่ใช่ใครอื่นครับแต่คือ "Takamine" นั่นเอง

เรื่องเสียงของ CJ รุ่นที่ผลิตในญี่ปุ่นนั้นผมยังไม่เคยใด้ฟังตัวจริงเสียงจริงเลยครับ ถ้าใครเคยฟังช่วยมาบรรยายเพิ่มเติมหน่อยนะครับ
(This post was last modified: 07-06-2010, 15:31 by pood.)
07-06-2010, 15:05
Find Like Post Reply
Noname Offline
Senior member
****

Posts: 448
Likes Given: 1
Likes Received: 7 in 4 posts
Joined: 27 Nov 2008
Reputation: 3
#16
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
ผมล่ะไม่ได้ลองyamahaรุ่นสูงๆกะเขาซักที และราคาเมืองไทยก็ไม่รู้จะตั้งแพงไปไหนกัน
07-06-2010, 22:53
Find Like Post Reply
pood Offline
VIP member
******

Posts: 6,313
Likes Given: 13
Likes Received: 390 in 213 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 77
#17
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
ผมคิดว่าตัวแทนยามาฮ่าในบ้านเราตั้งราคาบางรุ่นไว้สูงมากเพื่อสร้าง "brand image" เพราะต้องการลบล้างความคิดของคนส่วนใหญ่ที่คิดว่ายามาฮ่าผลิตแต่กีต้าร์ราคาถูกเท่านั้น ผมเชื่อว่าพวกตัวละแสนกว่าบาทนั้นเขาสั่งมาโชว์แต่ไม่มีสต้อคในโกดังหรอก

มาเข้าเรื่อง Takamine กันดีกว่า เชื่อไหมครับว่า Takamine กับ Adamas นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกันโดย Takamine เป็นลูกติดแม่แต่ Adamas เป็นลูกในใส้ของ Ovation

ในปี 1966 บริษัท Martin ต้องการหาคนผลิต Martin Sigma ในญี่ปุ่นก็เลยให้บริษัท Coast ช่วยติดต่อ Takamine ให้ บริษัท Coast ก็เลยถือโอกาสเซ็นสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายกีต้าร์ Takamine ทั่วโลกนอกจากในญี่ปุ่นซะเลย Martin ก็เริ่มส่งทั้งคนและเครื่องมือไปฝึกให้ช่างของ Takamine ผลิตกีต้าร์ Martin ราคาถูกเพื่อเอามาขายทั่วโลกแต่ให้ใช้ไม้หลังและไม้ข้างเป็น laminate นะครับ

Takamine คงจะใด้เป็น "Japanese Martin" ถ้า Kaman Corp ที่เป็นเจ้าของ Ovation ไม่ใด้ซื้อบริษัท Coast ไปในปี 1968 โดยมี Takamine เป็น "ลูกติดแม่" ไปด้วย ตอนนั้น Martin ก็เลยต้องไปหาโรงงานอื่นเพื่อผลิต Martin Sigma แทนและไปลงเอยกับโรงงาน Tokai Gakki ส่วน Takamine ก็เลยผลิต Martin Copy ส่งมาขายที่อเมริกาตลอดยุค '70s จนกระทั่งโดน Martin ขุ๋ว่าจะฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์เลยต้องหยุดไป Takamine ยุคนี้เขาเรียกกันว่า "Lawsuit Era" ครับ เพราะหน้าตาเหมือน Martin ทุกกระเบียดนิ้ว

เมื่อผลิตกีต้าร์ก้อปปี้ไม่ได้อีกแล้ว Takamine เลยจำเป็นต้องหาจุดขายใหม่ซึ่งก็หาไม่ยากหรอกครับเพราะเมื่อก้อป Martin ไม่ใด้ก็ก้อป Ovation มันซะเลยเพราะในยุคนั้น Ovation acoustic electric กำลังดังระเบิดแบบไร้คู่แข่งในอเมริกา

"ทำไม Ovation ถึงยอมให้ Takamine ทำกีต้าร์โปร่งไฟฟ้ามาขายแข่งกับ Ovation ?"

Roy Emerson (CEO ของ Coast) บอกว่า Kaman ยอมเพราะ Takamine ที่ขายใด้ทุกตัวก็ทำกำไรให้กับบริษัทเหมือนกับการขาย Ovation นั่นแหละ ความจริงแล้วผมเดาว่าเขาต้องการเอา Takamine มาเจาะตลาด acoustic rock เพื่อช่วยเสริมยอดขายของ Ovation ซึ่งตอนนั้นครองตลาด country อยู่แล้วมากกว่า

ผมขอไม่เล่าเรื่องราวของ Takamine ในยุค copy นะครับเพราะมันไม่มีอะไรน่าจดจำและเสียงของมันก็ไม่ใช่เสียงของ Takamine ที่พวกเรารู้จักกันดีด้วย
(This post was last modified: 09-06-2010, 10:37 by pood.)
09-06-2010, 10:36
Find Like Post Reply
newkaset Offline
Junior member
**

Posts: 48
Likes Given: 0
Likes Received: 0 in 0 posts
Joined: 30 Mar 2010
Reputation: 0
#18
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
โอ้ววว มันส์สุดๆๆ เลยครับน้า pood แล้วทุกวันนี้ takamine ยังเป็นเครือเดียวกับ ovation อยู่หรือเปล่าอะครับผม
09-06-2010, 12:04
Find Like Post Reply
pood Offline
VIP member
******

Posts: 6,313
Likes Given: 13
Likes Received: 390 in 213 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 77
#19
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
TAKAMINE ACOUSTIC ELECTRIC GUITAR (1979- )

กีต้าร์ที่ทำให้ Takamine มีชื่อเสียงก้องโลกใด้คือกีต้าร์โปร่งไฟฟ้าของเขาครับ การแจ้งเกิดของ Takamine นั้นเป็นเรื่องที่จริงที่สนุกกว่านิยายซะอีก ก่อนอื่นผมขอแนะนำพระเอกคนแรกของเรื่องคือ "Ry Cooder" ครับ

Ry Cooder เป็นมือกีต้าร์ที่นิตยสาร Rolling Stone จัดให้อยู่ในอันดับแปดของโลก ในยุค '70s นั้นเขาเล่น back up ให้กับวงร้อคดังๆเกือบทุกวง ตามปกติเขาเล่นกีต้าร์ไฟฟ้าแต่ฝีมือด้านการ slide กีต้าร์โปร่งก็ไม่เบาที่เดียว ดูใด้ข้างล่างครับ



นอกจากเล่นกีต้าร์เก่งแล้วเขายังเป็น producer มือฉมังอีกด้วย ในปี 1986 เขาใด้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่ทำให้วัยรุ่นอเมริกันหันกลับมาเล่นกีต้าร์ไฟฟ้ากันอีก (ก่อนหน้านั้นวัยรุ่นกำลังเห่อ keyboard กันครับ) จากภาพยนตร์เรื่อง Crossroads ที่เขาเป็นคนทำเพลงทั้งหมด ในหนังเรื่องนี้เสียงกีต้าร์ที่พระเอกเล่นความจริงแล้ว Ry เป็นคนเล่นทั้งหมดครับและมาไคลแม้กซ์ที่ฉากดวลกีต้าร์กับ Steve Vai ในตอนจบของเรื่อง (Ry เล่นจนถึงนาทีที่ 4.41 ครับแต่ท่อนสุดท้าย Steve เล่นทั้งสอง part)



ในปี 1997 เขาก็ใด้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ทำให้คนอเมริกันหันกลับมาชมชอบ Latin music กันอีกจาก CD และหนังเรื่อง Buena Vista Social Club ที่เขาไปเสาะหารากของเพลง latin ใน Cuba สมัยหลังสงครามโลก

ตอนที่ Mass Hirade ไปตรวจกิจการของ Takamine USA ในยุค '70s นั้นบังเอิญสามีของล่ามชาวอเมิกันเป็นเพื่อนสนิทกับ Ry Cooder ตา Mass Hirade ที่เป็นมือการตลาดตัวฉมังเลยวานให้เชิญ Ry Cooder มาเยี่ยมชมโรงงาน Takamine ที่ตอนนั้นกำล้งออกแบบระบบปิ้คอัพกันอยู่อย่างขมักเขม้นโดยเริ่มต้นด้วยการลอกแบบปิ้คอัพของ Ovation มานั้นเอง

Ry Cooder บินไปญี่ปุ่นโดยหิ้วกีต้าร์โปร่งตัวโปรดที่ L.R. Baggs เป็นคนทำให้ไปด้วย ทางโรงงาน Takamine ก็เลยก้อปซะเลยแต่ยัดระบบ palathetic preamp & pickup ลงไปด้วย แถม Takamine ยังก้อปเอา Headstock ของ L.R. Baggs มาใช้จนถึงทุกวันนี้ครับ

[Image: baggs.jpg]

พอ L. R. Baggs ใด้ยินเสียงปรีของ Takamine ก็เลยเลิกทำกีต้าร์และหันเอาดีทางการทำ pickup แทนโดยตอนแรกๆก็ก้อปจากปิ้คอัพของ Takamine ที่ไม่มีแยกขายนั่นแหละครับ รายการนี้ก็เลยถือว่าเจ๊ากันไปเพราะต่างคนต่างก้อปกัน

Takamine โปร่งไฟฟ้านั้นต่างกับ Ovation ตรงที่ว่าคนที่เล่น Ovation มักเป็นคนที่เล่นกีต้าร์โปร่งมาก่อนแต่คนที่เล่น Takamine มักเป็นมือกีต้าร์ไฟฟ้ามาก่อนเนื่องจาดคอ Takamine และ action จะทำให้ใด้ความรู้สึกเหมือนการเล่นTelecaster ครับ เพียงปีเดียวหลังวางตลาดก็มีศิลปินเหล่านี้ใช้ Takamine เป็นกีต้าร์โปร่งคู่กายแล้วครับ (จาก 1980 catalog)

[Image: image652.jpg]
[Image: image653.jpg]

ในยุคปลาย '80s นั้นโปร่งไฟฟ้าของ Takamine ขายดีกว่า Ovation ด้วยซ้ำ และมาโด่งดังเป็นพลุแตกอีกครั้งในยุค '90s ในอัลบั้มชุด come back ของ The Eagles ครับ ผมเองก็เพิ่งมาสนใจ Takamine หลังจากใด้ชม concert ชุดนี้แหละ

09-06-2010, 13:21
Find Like Post Reply
pood Offline
VIP member
******

Posts: 6,313
Likes Given: 13
Likes Received: 390 in 213 posts
Joined: 28 Aug 2007
Reputation: 77
#20
RE: กีตาร์ 3 ยี่ห้อ
TAKAMINE NATURAL SERIES (1986- )

Takamine คงเป็นแค่กีต้าร์โปร่งไฟฟ้าและคงประสพชะตากรรมเดียวกันกับ Ovation คือโดนเบียดยอดขายจากบริษัทที่ทำกีต้าร์โปร่งอย่างเช่น Martin, Taylor หรือ Gibson เมื่อระบบปรีแอมป์อิสสระอย่างเช่น Fishman และ LR Baggs ใด้รับการพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนในยุคปลาบ '90s เสียงก็ไม่ใด้เป็นรองพวก propriety preamp ของ Takamine หรือ Ovation เลยแม้แต่น้อยแต่ Takamine กลับโชคดีที่มีพระเอกคึนที่สองมาช่วยไว้ครับ

พระเอกคนนี้เป็นชาวฝรั่งเศษชื่อ Gerard Garnier ครับ เขาเป็นเจ้าของโรงงานทำ harp และเป็นตัวแทนจำหน่าย Ovation และ Takamine ในฝรั่งเศษ ในปี 1984 เขาแนะนำไปทางโรงงาน Takamine ว่าควรผลิตกีต้าร์โปร่งเสียงดีๆแต่ราคาไม่แพงออกมาตีตลาดยุโรปบ้างซึ่งทางโรงงานก็เลยให้เขาเป็นคนออกแบบให้ซะเลย กีต้าร์ Natural Series ตัวแรกคือ N10 วางตลาดในปี 1986 ครับ อ่านบทสัมภาสษ์ตา Gerard ใด้ที่นี่ครับ

http://www.takamineforum.com/ref2.htm

Takamine Natural Series ใด้แตกลูกแตกหลานออกมาอีกมายมายหลายสิบรุ่นจนถึงทุกวันนี้ (รุ่นไหนที่มีตัว N ในชื่อก็มีบรรพบุรุษเป็น natural series ครับ) ผมว่าคนส่วนใหย๋ที่ชอบเสียง Takamine ก็คงชอบเสียงของ Natural series เป็นหลักรวมทั้งตัวผมเองด้วยที่มีความรู้สึกว่า Takamine รุ่น acoustic electric แท้ๆนั้นถ้าไม่เสียบแอมป์เสียงก็ไม่ใด้มีความโดดเด่นอะไรเลยครับ

ก่อนจะจบเรื่องราวของ Takamine ผมต้องย้อนกลับไปอ้างถึงคำพูดที่ผมบอกว่าสมัยนี้มันหมดยุคของกีต้าร์โปร่งไฟฟ้าแล้วเนื่องจากใครๆก็ทำใด้ เรื่องนี้ผมสังเกตุจากยอดขายครับ Takamine นั้นเขาไม่เปิดเผยยอดขายนอกจากรุ่น Limited Edition ซึ่งเดี๋ยวนี้ยอดขายตกลงมาเยอะครับ

LTD1987 (ปีแรก) 400 ตัว
LTD1998 2,000 ตัว
LTD2007 500 ตัว

ส่วน Ovation ซึ่งสร้างชื่อเสียงมากับกีต้าร์โปร่งไฟฟ้าโดยไม่ใด้มีการทำตลาดในด้านโปร่งธรรมดา (ถ้าไม่นับ Adamas) นั้นยอดขายที่นับใด้จาก serial number ลองเอามาเทียบกับยอดขาย Martin ดูใด้ครับ

1978...Ovation ขายใด้ 30999 ตัว Martin ขายใด้ 8175 ตัว
1998...Ovation ขายใด้ 8457 ตัว Martin ขายใด้ 43997 ตัว
2008... Ovation ขายใด้ 6870 ตัว Martin ขายใด้ 68952 ตัว

ตัวเลขข้างบนยังไม่ใด้รวมยอดขาย Adamas นะครับแต่คงผิดไม่มากเพราะ Adamas ยอดขายอยูในหลักร้อยทุกปี

ผมขอผ่านคำถามสุดท้ายเรื่องเสียงของ Adamas นะครับเพราะเคยมีอยู่แค่สองตัวและขายไปหมดแล้ว รอผู้ชำนาญท่านอื่นมาเล่าให้ฟังดีกว่าครับ
09-06-2010, 14:38
Find Like Post Reply


Forum Jump:


Users browsing this thread:

Contact Us | NimitGuitar | Return to Top | | Lite (Archive) Mode | RSS Syndication