(18-08-2011, 15:28)Maow Wrote: (18-08-2011, 10:53)nco4433 Wrote: (18-08-2011, 06:29)Maow Wrote: แอบเชียร์อยู่ครับสำหรับทีม Liverpool
เชียร์มาเกือบสามสิบปีแล้วแต่ยังไม่ได้แชมป์พรีเมียร์กับเขาเลย
โหเยอะกว่าผมอีกครับ ผมแอบเชียร์มาเกือบ 20 ปีแล้ว ป่านนี้ยังช้ำอยู่เลยครับ...อิอิอิ
ผมว่าทีมฟุตบอลของอังกฤษมันขึ้นอยู่กับเม็ดเงินมากกว่าครับ ทีมไหนรวย ทีมนั้นก็มีโอกาศได้เป็นแชมป์เยอะกว่า ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่นทีมอภิมหาเศรษฐีจากสเปนอย่าง Madrid หรือ Barcelona รวยมากจนไม่ต้องการ sponsor ก็ได้ แข่งเมื่อไหร่ก็ชนะเพราะใช้เงินซื้อนักเตะระดับโลก หรือผู้จัดการทีมคนไหนก็ได้ในโลกนี้ ประกอบกับสนามแข่งขันของทั้งสองทีมก็สามารถจุคนดูได้มากทำให้ได้เงินจากค่าเข้าชมเยอะมาก
ส่วนอังกฤษที่เห็นได้ชัดเจนคือเชลซีเป็นทีมที่เมื่อก่อนแข่งกับลิเวอร์พูลเมื่อไหร่ก็แพ้กับเสมอแต่พอมีมหาเศรษฐีชาวรัสเซียเข้ามาซื้อกิจการมีเม็ดเงินมาก็สามารถหาซื้อนักเตะได้สบายๆ และขึ้นบัลลังค์แชมป์ได้แบบเก้ากระโดดเลยทีเดียว
ส่วนแมนยูต้องชมว่าเป็นทีมที่มีระบบการทำทีมตั้งแต่เยาวชนได้ดีมาก มี acadamy ที่เป็นระบบที่ดีมากดูแลเด็กนักเตะและค่อยๆสร้างทีมได้ดีมากๆ โดยที่ไม่ได้ใช้เงินมากมายเหมือนทีมอื่น เพียงแต่ซื้อนักเตะระดับโลกที่ฝีเท้าสไตล์การเล่นเข้ามาเสริมทีมเล็กน้อยเท่านั้น ประกอบกับสปิริตที่ปลูกฝังกันมาตั้งแต่เป็นนักเตะระดับเยาวชนก็เลยเป็นทีมที่แกร่งเล่นทุ่มเทเกินร้อย นักเตะทุกคนเล่นแบบถวายหัว (อาจเป็นเพราะผู้จัดการทีมดุด้วยก็เป็นได้) จึงทำให้ทีมแมนยูขึ้นชั้นจากดิวิชั่น 1 และเก้าขึ้นมาในพรีเมียร์ได้อย่างรวดเร็วและขึ้นแท่นแชมป์ได้แบบเก้ากระโดดเช่นกัน
ที่สำคัญแมนยูมีที่ขายของที่ระลึกแบบที่เรียกว่า Megastore เป็นร้านที่อยู่ใต้อัฒจรรย์ซึ่งขนาดใหญ่มาก คนเข้ามาซื้อของแบบต่อคิวยาวเหยียด ยิ่งวันใดแข่งชนะไม่ต้องพูดถึง ขายได้ดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่น่าเสียดายอย่างหนึ่งที่ทำให้แมนยูวูบไปเล็กน้อยก็ตอนที่พวกไอ้กันเข้ามาซื้อทีม แล้วบริหารงานไม่เข้าท่า ก็ทำให้เสียศูนย์ไปเล็กน้อย แต่ด้วยความที่ระบบภายในเป็นระบบที่แข็งแกร่งแล้วเลยไม่ค่อยได้รับผลกระทบเท่าไหร่นัก ลองคิดเล่นๆว่ารายได้ต่อนัดจากการขายบัตรเข้าชมได้เท่าไหร่ สมมุติว่าที่นั่งมี 65000 ที่นั่ง ตั๋วถ้าหากเป็นแมตช์ที่เจ๋งๆก็ต้องมี 35 ปอนด์
ดังนั้นแมตช์นั้นจะได้ 65000 x 35 = 2,275,000 ปอนด์ (ไม่รู้ค่าเงินเท่าไหร่) เฉลี่ยแล้วอาทิตย์หนึ่งก็ต้องได้ประมาณนี้เพราะเตะกัน 1 หน ต่ออาทิตย์ ถ้าหากทีมเล่นใน Champion League อีก หรือมีแมตช์อื่นอีก ก็ลองคูณเข้าไป
ส่วนทีมที่ล่วงได้เร็วและดูท่าว่าจะกลับขึ้นมาพรีเมียร์ได้ยากคงเป็น Leeds United (ตกชั้นตอนผมกลับพอดี) เป็นทีมที่เล่นได้ลุ่มๆดอนๆ ทำให้คนในเมืองหมดศรัทธาไม่เชียร์ ของในสโตร์ก็ไม่มีคนซื้อทำให้เงินไม่หมุนไม่สะพัด ประกอบกับมีปัญหาภายในทีมและผู้บริหาร ก็เลยทำให้เป็นอีกทีมที่จากรองแชมป์ในฤดูการหนึ่งดิ่งเหวลงสู่ดิวิชัน 1 แบบไร้ข้อกังขาเช่นกันก็เพราะเหตุผลจากเรื่องเงิน ผมเคยไปดู Leeds เตะกับแมนยู ครั้งหนึ่งสะใจดี เพราะ Leeds แพ้ 2-0 แต่สุดท้ายตอนออกสนามแฟนแมนยูโดนต่อยบาดเจ็บไปเล็กน้อย
สรุป ทีมไหนเงินเยอะทีมนั้นเข้าวิน
ถ้าระยะสั้นก็ไม่แน่ครับ แต่ถ้าระยะยาวเงินอย่างเดียวไม่พอแน่ครับ มันขึ้นอยู่กับอีกหลายอย่าง ทั้งตัวนักเตะเอง ผู้จัดการทีม เจ้าของทีม และก็แฟนบอลด้วย
ยกตัวอย่างแมนยูนะครับ สมัยก่อนก็เป็นทีมที่มีเงินหนาทีมนึง
ตอนที่เซอร์อเล็กซ์มาคุมทีมแรกๆ ก็ไม่ได้แชมป์อะไร หวิดที่จะโดนไล่ออกหลายที ถ้าเจ้าของทีมไม่ให้โอกาสคุมทีมต่อ ผมว่าก็ไม่มีแมนยูที่เป็นแบบทุกวันนี้หรอกครับ แต่ถ้าเจ้าของมาก้าวก่ายมากเกินไปก็ไม่ไหว
กึ๋นของกุนซือก็มีส่วนอย่างมากครับ ทั้งในการวางแผนการเล่น แก้เกม การซื้อนักเตะ บริหารทีมเยาวชน การให้นักเตะได้มีโอกาสโชว์ฟอร์ม ท่านเซอร์ก็เหมือนกัน ให้โอกาสนักเตะเยาวชนของทีม ทำให้เกิด class of 92 ขึ้นมา ทั้ง 2 พี่น้องเนวิลล์ กิ๊กส์ สโคลล์ เบ๊คแฮม บัตต์ ซึ่งนักเตะเหล่านี้เป็นแกนหลักในทีม ทำให้ทีมคว้าแชมป์ได้หลายสมัย และสิ่งที่ขาดไม่ได้ในช่วงนั้นก็คือ คันโตน่าครับ นักเตะที่ทีมในบ้านเกิดไม่มีใครเอา ทั้งมีเรื่องชกต่อยกับทีมตรงข้าม ทีมตัวเองก็ไม่เว้น
ต้องหนีมาอยู่อังกฤษกับลีดส์ และต่อมาก็ย้ายมาอยู่แมนยู เป็นส่วนนึงที่ทำให้แมนยูยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้
นักเตะก็เหมือนกัน ถ้าเล่นเพื่อทีมก็ดีครับ แต่ถ้าเล่นโชว์เดี่ยวอยู่คนเดียว ทีมเวิร์คก็พังได้เหมือนกัน จิตใจก็สำคัญ ถ้าเจอความกดดันมากๆ นักเตะที่ทนไม่ไหวก็ทำพลาดให้ทีมแพ้ได้เหมือนกัน
แฟนบอลก็มีส่วนสำคัญ ทั้งอุดหนุนสินค้าสโมสร ซื้อตั๋วเข้าไปเชียร์บอล ทำให้สโมสรมีรายได้จ่ายค่าตัว ค่าเหนื่อยนักเตะ