(24-03-2013, 19:38)Katayoot Wrote: อยู่ที่เจตนาของการซื้อขายนะครับ เรื่องถูกแพงก็อยูที่ความพอใจ
บางคนเค้าค้าขายเป็นอาชีพ ก็ควรเข้าใจเค้า มีระยะห่างที่เค้าไม่อึดอัด
อย่าไปเลียประจบเพื่อขอต่อหักคอแบบให้เค้าพูดไม่ออก และถ้าของเค้าแพงไปก็อย่าไปซื้อ
ถ้าในส่วนของมิตรภาพ สำหรับผมนะ อยากได้ก็ขอซื้อกันเลย เงินไม่พอก็ยืมในวงนั่นแหล่ะ
ขอผ่อน ขอ turn กันยังไงก็ว่าไป หลายท่านเจอผมหักคอมาแล้วในบอร์ดนี้
แต่ผมให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์ จริงใจในการซื้อขายมากกว่าครับ
ของสภาพไหน มี error ตรงไหนบ้าง จุดเด่น ข้อมูล ประวัติ ต้องถูกต้องไม่ใส่ไข่
หลังจากปิดการขายแล้ว เรื่องขอคืน เรื่องริ้วรอยที่มาเจอตอนหลัง อันนี้ผมไม่เห็นด้วยครับ
นอกจากคุยเงื่อนไขกันไว้
เห็นด้วยกับน้าหนุ่มทุกประการเลยครับ
กฎ Demand vs Supply เศรษฐศาสตร์ง่ายที่ใครๆก็รู้
คนซื้อพอใจ คนขายพอใจ เกิดการซื้อขาย
ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ขายกีต้าร์ที่เคยสะสมไว้ออกไป โดยคำนึงถึงหลักจริยธรรม
ราคาที่ขายออกไป มีขาดทุน (เยอะ) บ้าง, กำไร (เล่น) บ้าง, บางตัวได้ค่าสายกีต้าร์มาเปลี่ยนบ้างไรบ้าง, ก็แปลกดีครับที่ยังไม่เคยได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเหมือนชาวบ้านเค้าเลย 555 โดนต่อประจำ
แต่มิตรภาพที่ได้รับมันมีแต่มากขึ้นๆเรื่อยๆ และได้เพื่อนดีๆกลับมาเยอะมากๆๆๆๆๆๆ
ดีใจครับที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ตัวเองชอบ เจตนารมณ์ยังชัดเจนเหมือนเดิม
ได้เล่นกีต้าร์ดีๆ ได้ความรู้จากการค้นคว้าและอ่านสิ่งที่พี่ๆถ่ายทอดในบอร์ด มันคือ"กำไร"ที่ผมได้รับครับ ส่วนอื่นๆที่ได้ก็เป็นค่าขนมเอาไว้ไปหาของอร่อยๆกินกัน
ธุรกิจ กับ มิตรภาพ ไม่แปลกครับที่จะเห็นเป็นกราฟที่จะโยงมาเจอจุดตัดเดียวกัน หากผู้ขายมีจริยธรรม สุดท้ายแล้วคนที่จะยืนหยัดในธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืนคือต้องซื่อสัตย์ต่ออาชีพการงานที่ทำ
โดยส่วนตัวผมเองก็มีอาชีพค้าขายครับ และก็เป็นผู้ขายในบริษัทชั้นนำของโลกเสียด้วย ผมไม่เคยขายของราคาถูกครับ เพราะบริษัทที่ผมทำงานอยู่นั้นขายผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงสุดในตลาด หากแต่ราคาที่สูงนั้นมันก่อให้เกิด "Value" กับลูกค้ามากมายซึ่งสามารถประเมินออกมาเป็นมูลค่าที่จับต้องได้ ทำให้เราสามารถเป็นอันดับ1ในตลาดโลกที่ผ่านมา
ผมมักจะสื่อสารกับลูกค้าผมบ่อยๆว่าต้องแยกแยะระหว่าง ราคาสูง = High Price กับ ราคาแพง = Expensive Price มันแตกต่างกันชัดเจนครับ
คนที่ซื้อสินค้า High Price เค้ารู้ว่าสิ่งที่เค้าเสียเงินไป มันสามารถได้รับ High Value กลับคืนมา เทียบง่ายๆก็คือ Input < Output
แต่ Expensive Price คือราคาแพง ความหมายคือลูกค้าไม่ได้รับคุณค่ามากพอเมื่อเทียบกับเงินที่เสียไปเลยรู้สึกแพง Input > Output
ราคาถูก Cheap Price ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะเป็นของดีครับ ถูกและดีไม่ได้มีตลอดรู้ๆกันอยู่
ผมคงจะไม่สามารถทำยอดขายทะลุเป้าได้ติดกัน 9ปีซ้อน หากผมไปหลอกขายของลูกค้าและหมกเม็ด หากแต่ต้องทำงานหนักเพื่อก่อให้เกิด "Value"ที่มากกว่าเงินที่ลูกค้าจ่ายไป เพราะผมถูกสอนมาแบบนั้นครับ
อยากทิ้งท้ายไว้นิดนึงครับ ผมได้เพื่อนดีๆมากมายจากการทำงานขายสายอาชีพ ได้มีส่วนในการพัฒนาตลาดและองค์กรของลูกค้าโดยขายสินค้าราคาสูง หากแต่ลูกค้าได้สิ่งที่ดีกว่าและคุ้มค่าเงินที่เค้าจ่ายไปครับ
เช่นเดียวกันผมได้เพื่อนดีๆมากมายจากการที่เรารักและชอบกีต้าร์ จนกระทั่งได้เจอเพื่อนๆที่มีเจตนารมย์ดีๆเหมือนๆกันมาทำในสิ่งที่ชอบที่รัก ได้ค่าขนมนิดหน่อยเอาไว้ต่อยอดมิตรภาพครับ
ดีใจครับที่มีเพื่อนๆพี่ๆหลายต่อหลายคนคอยห่วงใยซักถามเราเหมือนเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มิตรภาพดีๆก่อเกิดในบอร์ดแห่งนี้มากมายครับ มักจะเห็นหลายๆครั้งว่าเกรียนคีย์บอร์ดหรือพวกมิจฉาชีพมักจะอยู่ไม่ได้ในบ้านสีฟ้าแห่งนี้ครับ เพราะพวกเรามีผู้ใหญ่ดีๆคอยดูแลเราอยู่
(25-03-2013, 11:30)pong555 Wrote: อ่านแล้ว...เห็นด้วยกับพี่ป๋อ 100% ครับ เอาไป 10 กะโหลก 555...
ผมไม่แน่ใจว่า การที่น้า indianday1994 ตั้งกระทู้แบบนี้ต้องการจะสื่ออะไร หรือว่าน้าไปรู้ต้นทุนขายของผู้ค้าบางรายเข้า เลยรู้สึกอึดอัดใจต้องมาระบาย..
ผมคงไม่ต้องบรรยายซ้ำว่า ธุรกิจ vs มิตรภาพ มันเป็นอย่างไร เพราะที่อ่านจากความเห็นจากทุกๆ ท่านแล้วเห็นว่า มันถูกทุกข้อ..!! และสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ทุกท่านมักจะเน้นย้ำ นั่นก็คือ ข้อมูลที่ถูกต้องของสินค้า ที่ไม่มีการปกปิดความจริงแก่ผู้ซื้อในเรื่องคุณภาพและความชำรุดบกพร่องของสินค้านั้น ซึ่งทำให้ผู้ซื้อเข้าใจผิดในคุณสมบัติของสินค้านั้นๆ พูดง่ายๆ ก็คือ "หลอกขายของ" นั่นเอง
ส่วนเรื่องราคา หรือ กำไรของผู้ขายนั้น ปล่อยให้กลไกตลาดทำหน้าที่ของมันเถอะครับ อย่างที่ทราบกันว่า การทำธุรกิจต้องมีกำไร จะน้อยหรือมาก เราในฐานะผู้ซื้อไม่ต้องไปสนใจมันหรอกครับ ตราบใดที่สินค้านั้นมีคุณภาพและราคาที่เราพอใจ หากผู้ขายรายใดตั้งราคาเกินจริง ก็จะขายไม่ออกไปเองโดยที่เราไม่ต้องไปทำอะไรเลย
อีกประเด็นที่อยากจะพูดก็คือ การซื้อขายของหายากหรือของสะสมบางอย่าง บางทีเราไม่สามารถจะกำหนดได้นะครับว่าควรจะซื้อขายกันในราคาเท่าไหร่ หรือเป็นราคาที่ผมเรียกว่า "ราคาพระสมเด็จฯ" ซึ่งถ้าคนที่อยู่ในวงการพระจะรู้ดีว่า พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ (พิมพ์นิยม) นั้น มีราคาซื้อขายกันตั้งแต่ 5 ล้านบาทถึงบางทีก็เกือบจะ 100 ล้านเลยก็มี ในเมื่อของสิ่งนั้นหายากและเป็นที่นิยม มันก็มักจะเป็นโอกาสทางธุรกิจของผู้ขายที่สามารถจะเปิดราคาสูงได้ ส่วนจะปิดการซื้อขายกันที่เท่าไหร่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองและความพอใจของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายครับ
ไม่คิดมากก็ไม่เครียด ไม่คาดหวังก็ไม่ผิดหวังครับ
นั่นสิครับพี่พงษ์ ผมว่าพี่ๆที่เขียนมาข้างบนก็ให้ข้อมูลที่ถูกต้องมากๆครับ
ชอบครับที่บอร์ดเราให้ความเห็นกันตรงไปตรงมา มีประโยชน์ต่อเพื่อนๆมากครับ
แล้วเสี่ยพี่พงษ์ไว้ว่างๆเราไปหา"พิมพ์นิยม"กันนะตะเอง