เป็นเรื่องที่คัดมาจาก blog ของน้องคนหนึ่งซึ่งให้ข้อคิดน่าสนใจ เขากำลังจะเรียนจบดอกเตอร์ทางด้านวิศวกรรมโยธาในเร็วๆ นี้ งานอดิเรกก็มีถ่ายภาพ เล่าเรื่อง ขี่จักรยาน ทำกับข้าวเก่งซะด้วย อันที่จริงเขาตั้งใจจะกลับมาเป็นอาจารย์สอนที่จุฬาฯ แต่ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งว่าง คงต้องหางานที่อเมริกาไปพลางก่อน หวังว่าเราคงได้คนดีกลับมาเป็นแม่พิมพ์ของชาติในเร็ววันค่ะ
สนใจติดตามงานเขียนหรืองานถ่ายภาพของเขา แวะไปเยี่ยมชมและสนทนาได้ที่
http://jaktared.multiply.com ค่ะ
เงิน... ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ
วันนี้ไม่มีรูปถ่ายให้ดูครับ ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าหลังจากที่ defend dissertation ไปแล้ว กลับมีอะไรให้ทำมากมาย ไม่รู้ว่ามากยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำรึเปล่า แค่จัดบ้านที่รกๆอย่างเดียวก็กินเวลาไปร่วม 3 - 4 วันเห็นจะได้ พอมีเวลามากขึ้นก็เอาไปลงกับ TA class เพิ่มจากเดิม เอาไปอุด ปะ อะไรที่เคยทำแบบพอให้เสร็จไปก่อน ยิ่งช่วงนี้เริ่มใช้ google calendar จริงๆจังๆ ทำให้ "ตารางชีวิต" กลับแน่นเอี้ยดยิ่งกว่าเดิมซะอีก เพราะฉะนั้น เลยไม่มีรูปสิงสาราสัตว์ทั้งปวงให้ท่านๆได้ชมตามที่เคยคาดไว้ คิดว่าวันสองวันนี้อาจจะไปถ่ายบรรยากาศของ UT มาซักหน่อย ถ้าได้ฤกษ์เมื่อไหร่ทุกคนคงได้ชมกันแน่ครับ (ปล. ดอกสีชมพูที่คุณเหมียวให้ไว้เป็นการบ้านนี่ก็ยังไม่ลืมครับ รอ extender ring มาถึงมือก่อน ช่วงนี้งบน้อย ขอเก็บตังไว้ไปอลาสกาตอนช่วงหน้าร้อนดีกว่า)
พอคนเรามีเวลาว่างมากไปก็จะคิดครับ คิดไปเรื่อย แต่ไม่ได้คิดมากครับ พูดอย่างงี้เดี๋ยวจะงงอีก ข้างบนบอกว่าวุ่นกว่าเดิม มาย่อหน้านี้บอกว่าว่าง ไอ้ที่ว่างก็คือมันไม่มีอะไรที่ต้องคิดตลอดเวลาในหัวสมองครับ พูดงั้นก็ไม่ถูกอีกเพราะผมก็เป็นคนที่คิดอะไรตลอดเวลาเหมือนกัน (คนรอบตัวบางทีอาจงงว่าทำไมตานี่หน้าตาเครียดตลอด) แต่เอาเป็นว่าสิ่งที่คิดคงมีความสำคัญรองลงมาจากงานวิจัยที่ชี้ชะตาปริญญาเอก
นั่นเลยเป็นที่มาว่าทำไมอยู่ๆมาเขียนบลอกนี้ ฟังดูเครียด แต่ผมคงไม่อยากจะเขียนให้ผู้อ่านเครียดนัก เพราะอารมณ์ผู้เขียนไม่ได้เครียดเท่าไหร่ (ถ้าเครียดแล้วค่อยบรรเทาไปให้ผู้อ่านร่วมแบ่งปัน) เรื่องก็มีอยู่แค่ว่าผมนั่งหาตำแหน่งอาจารย์ในอเมริกาอยู่ มองหาตำแหน่งในเมืองเล็กๆ (จงใจเอาเมืองเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ National Park ครับ) หนึ่งในนั้นก็เป็นมหาวิทยาลัยของพี่วีด้วย (ฮ่าๆๆ เห็นวิวสวยนัก แอบสมัครซะเลย) หาไปหามา ชักรู้สึกว่าเริ่มจะดึก เลยเอาผ้าไปลงเครื่องซัก ลงตอนนี้ อบเสร็จก็พอดี ราวๆตีหนึ่ง อาบน้ำอาบท่าคงได้นอนไม่เกินตีสอง กำลังดี
เอาผ้าไปยัดลงเครื่อง จัดแจงอะไรเสร็จสรรพก็เดินกลับมาห้อง มาล้างมือ อ้าว เหมือนเจอขุมทรัพย์โกโบริ ที่ "ชวริน" หาไม่เคยเจอซักที (สะกดชื่อแบบนี้แล้วกันครับ เดี๋ยวจะบ้าเลือดมาฟ้องผม) ไม่มีอะไรมากไปกว่าองุ่นที่แช่ไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำ ตอนนี้สารเคมีคงละลายออกมากับน้ำที่ผสมโซเดียวไบคาร์บอเนต (เบคกิ้งโซดา) ไปเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาสำเร็จโทษองุ่นเม็ดดำๆเหล่านี้แล้วสิ
เหลือบไปข้างๆชามองุ่น พบส้มวาเลนเซีย (ไม่ใช่ว่าหรูต้องกินส้มวาเลนเซียนะครับ มันหาอะไรอื่นที่คล้ายๆส้มบ้านเราไม่ได้ จริงๆมีเป็นแบบคล้ายๆส้มเช้ง แต่เปลือกไม่แข็งเท่า นั่นก็อร่อย แต่พอดีไม่เห็นมีขาย) ส้มสามลูกนี้อยู่ในถุงพลาสติกที่เพิ่งจะเอามาใส่ส้มตอนหัวค่ำ (เพิ่งไปจ่ายตลาดมาตอนทุ่มกว่าๆ) ไม่น่าเชื่อว่าตอนห้าทุ่มจะไปอยู่ในถังขยะซะแล้ว
ประโยชน์ใช้สอยมีอยู่ราวๆ 4 ชม เท่านั้น แต่ใช้เวลาอีกราวร้อยปีกว่าจะย่อยสลายได้
นั่นเลยเป็นสิ่งที่กระตุกต่อมความคิดจี๊ดๆขึ้นมาว่า ทั้งหมดแล้ว ล้วนเกิดมาจากหน่วยที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการเป็นมาตรฐาน ให้คุณค่าของสิ่งของแต่ละสิ่ง บวกกับระบบเศรษศาสตร์ บวกกับอุตสาหกรรมภิวัฒน์ สิ่งเหล่านี้ทำให้การมองค่าของสิ่งต่างๆผิดไปจากความเป็นจริง มนุษย์ทุกวันนี้มองทุกอย่างแล้วตีัค่าว่า สิ่งนี้ถูก สิ่งนี้แพง สิ่งนี้สูงค่า สิ่งนี้ไร้ค่าโยนทิ้งได้ โดยหาได้นึกถึง
"คุณค่า" ในของชิ้นหนึ่งๆไม่
ถุงพลาสติกที่ฉีกทิ้งไป ทางเศรษฐศาสตร์ หรือทางการเงิน มีมูลค่าไม่ถึง 10 cent ด้วยซ้ำ พวกเราทุกคนถึงพร้อมใจกันทิ้งได้โดยไม่มีเยื่อไย ที่จริงผมใช้กระเป๋าเป้จ่ายกับข้าวตั้งแต่ก่อนที่จะมารณรงค์ใช้ถุงผ้าด้วยซ้ำ แต่ไอ้ถุงที่ใส่ส้มนี่วันนี้ลืมคิดไปจริงๆครับ น่าจะหยิบแค่ส้มใส่รถเข็นมาแบบไม่มีถุงพลาสติก ไม่รู้จะเอามาทำไม ก็แค่ให้พนักงานคิดเงินกดรหัส ชั่งน้ำหนัก ก็คิดเงินได้แล้ว วุ่นวายหน่อยเพราะมีสามลูก แต่แค่นั้นประหยัดต้นทุนสิ่งแวดล้อมไปได้โขเลย
ผมว่าถ้าใครที่อ่านร่าย บ่น เล่า กล่าว ของผมในอัลบัมต่างๆมาเรื่อยๆคงคิดว่าผมเป็นพวกบูชาอเมริกันซะเหลือเกิน จริงๆก็ยอมรับนะครับว่าระบบความคิด ความรับผิดชอบต่อสังคม และหลายๆอย่างของอเมริกันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม คนไทยส่วนใหญ่จะรู้สึกอคติกับอเมริกันในฐานะที่ชอบทำตัวเป็นตำรวจโลก เป็นมหาอำนาจ ระราน ก้าวก่าย วุ่นวายเค้าไปทั่วซึ่งก็จริง แต่นโยบายพวกนั้นมาจากผู้นำประเทศ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวแทนของอเมริกันชน แต่แม้ว่าจะมีสิ่งที่น่าชื่นชมอยู่มากมาย อเมริกันคือผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมโลกตัวยงเลยทีเดียว
ประเทศนี้ ทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ลองมาอยู่สัก 4 ปีแบบผมก็จะรู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณของการเป็นเจ้าพ่อแห่ง "อุตสาหกรรมภิวัฒน์" (บัญญัติศัพท์ขึ้นมาเอง) ทุกวันนี้เวลาจะทำอะไรผมค่อนข้างจะคิด คิดว่าจะทำยังไงให้มีประสิทธิผลมากที่สุด (อาจจะเป็นเพราะด้วยความที่เป็นวิศวกรด้วย) ... อาบน้ำ ล้างจาน ซื้อกับข้าว เดิน กิน ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มี optimization algorithm ติดเข้าไปด้วย
แน่นอนครับ ทรัพย์ใดจะมีค่าไปกว่า "เวลาทรัพย์" เวลาคือทรัพยากรที่ไม่สามารถย้อนกลับมาใช้ใหม่ได้ (nonreversable resource) อเมริกันเห็นความสำคัญนี้เป็นอย่างยิ่ง (เพราะ เวลาทรัพย์ เอาไปใช้หาเงินทองได้) นวัตกรรมทั้งหลายที่อยู่ในชีวิตประจำวันของอเมริกันชนจึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการประหยัดเวลา ประหยัดแรงงานคน แต่ทั้งนี้ต้องแลกมาด้วยพลังงานมหาศาลจากน้ำมัน ถ่านหิน นิวเคลียร์ ฯลฯ
ถามว่า ถ้าทำน้ำหกบนโต๊ะ จะทำยังไงครับ พี่ไทยบอก "รีบเอาผ้ามาเช็ด" พี่กันบอกว่า "รีบเอา paper towel มาเช็ด" แล้วพี่ไทยทั้งหลายที่มาเรียนต่อแถวนี้ก็ทำตามพี่กัน... แน่สิครับ เช็ดแล้วทิ้ง ไม่ต้องซักให้เหนื่อย แต่ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ล่ะครับ ไอ้ paper towel เนี่ย กว่าจะตัดต้นไม้ กว่าจะเอามาฟอกใย ทำเยื่อกระดาษ บลา บลา บลา... พลังงานเท่าไหร่ไม่ทราบ รู้แต่แผ่นละไม่ถึง 1 cent ก็เช็ดแล้วทิ้งไปซะ ผมคงเป็นคนเดียวที่ใช้ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดโต๊ะ
ที่เห็นแล้วขัดหูขัดตาที่สุดคือวัฒนธรรมการกิน ที่ไม่เคารพอาหาร ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตสัตว์ ถ้าลองคิดดูกันว่า เกิดต้องเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ แล้วต้องฆ่ากินเอง หรือต้องปลูกข้าวกินเอง เราคงจะกินแบบไม่ซี้ซั้วกันเหมือนทุกวันนี้ เมื่อหมู วัว ไก่ ปลา กุ้ง ถูกแล่ ชำแหละ ตัดหัวออก เลาะกระดูกทิ้ง ก็เป็นชิ้นเนื้อที่ไม่มีวี่แวว ร่องรอยของความโหดร้ายระหว่างกระบวนการฆ่า ทุกอย่างถูกแพคลงบนจานโฟมพลาสติกปิดหน้าด้วยพลาสติกแรป ปะราคาไว้ด้านบน... ชีวิต ในมุมมองของคน มีค่าเป็นเงิน ... ดอลล์ บาท ฯลฯ
ยิ่งเวลาไปทานบุฟเฟ่กันด้วย ยิ่งสะใจไปกันใหญ่ หยิบพิซซ่ามากินแค่หน้า ทิ้งแป้งทั้งยวง คว้าซูชิมา กินแต่ปลา โยนก้อนข้าวทิ้ง กินกันกะให้เจ้าของร้านบุฟเฟ่จนให้ได้ ทั้งที่สุดท้ายต้องมานั่งปวดท้อง ดีไม่ดีต้องไปนั่งอ้วกออก ไม่มีใครเถียง ถ้าคุณจะมี "อำนาจซื้อ" แต่เงินไม่สามารถซื้อต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม หรือต้นทุนชีวิตเหล่านั้นกลับมาได้
[color]นอกจากจะใช้เงินเป็นสิ่งวัดค่าสิ่งของ ชีวิตสัตว์แล้ว ในทีุ่สุดมนุษย์ก็แพ้ภัยตัวเอง เพราะเอาเงินมาวัดคุณค่าของคนแต่ละคนในที่สุด[/color] ถ้าพูดว่าคนคนหนึ่งประสบความสำเร็จ... คุณจะิคิดอะไรเป็นสิ่งแรก รวย รึเปล่าครับ ครอบครัวแตกเป็นเสี่ยง ชีวิตไม่มีความสุข แต่รวย คือประสบความสำเร็จ ???
ก็แค่อยากจะฝากไว้ว่าบางที
เราควรจะเิลิกสนใจ "มูลค่า" แล้วไปใส่ใจกับ "คุณค่า" กันให้มากขึ้น เพราะสิ่งที่ผ่านมาหลายพันปีของมนุษยชาติตั้งแต่ เมโสโปเตเมีย อารยธรรมลุ่มแม่น้ำคงคา โรมัน ฯลฯ ... ต่างดำเนินมาแบบผิดๆโดยตลอด
ถ้าตกงานจริงๆ คงต้องไปเขียนคอลัมน์ในนิตยสารล่ะมังครับ บ่นได้เป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้ แต่จะมีคนอื่นรึเปล่าก็อีกเรื่องนึง
อ่านเรื่องเล่าของน้องเขาแล้วเลยต้อง post เรื่องเกี่ยวเนื่องกันลงใน blog ของตัวเองด้วย ...ว่าไปตามนี้เลยค่ะ
Thirty things to do with the paper bag
ดอกเตอร์ช่างบ่น (คนเดียวกับตากล้องช่างจ้อ แต่คนละ function ...555) เขียนเรื่องเตือนสติพวกเราให้สนใจ ?คุณค่า? มากกว่า ?มูลค่า? มีตอนหนึ่งกล่าวถึงการเผลอทิ้งถุงพลาสติกไปก่อนที่จะใช้จน optimum อ่านแล้วนึกถึงอะไรบางอย่างที่ว่าจะทำแต่ก็ไม่ได้ทำสักที นั่นคือการถ่ายรูปถุงกระดาษใบหนึ่ง เพื่อเอา idea ดีๆ จากข้างถุงไปเผยแพร่ผ่าน website
แม้จะเล็งเห็น "คุณค่า" ของข้อความที่สื่อสารอยู่บนถุงใบนั้น ความที่มัวแต่คิดถึงเรื่อง "มูลค่า" ว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้ทั้งทีก็ต้องเอาแบบงามๆ หน่อย (ทั้งที่ตัวเองก็ไม่มีฝีมืออะไรหรอกนะ) จึงได้แต่เงื้อแล้วก็ไม่ได้ตี idea ดีๆ ที่ว่าเลยยังไม่ได้ถูกกระจายไปไหน เสียประโยชน์อันพึงได้ไปกว่า 3 ปีแล้ว
วันนี้อ่านบทความท่านดอกเตอร์จบแล้วรู้สึกผิดเป็นกำลัง จึงเดินไปหยิบถุงกระดาษใบที่ว่ากับคว้ามือถือ เปิดไฟอ่านหนังสือส่องแค่พอให้กล้องจากมือถือโง่ๆ focus ได้ แล้วกดมันเลย ...เออ..แค่นี้ก็ใช้งานได้แล้วนี่หว่า รออะไรอยู่ตั้ง 3 ปีเนี่ย ???
ติดตามอ่านงานเขียนของดอกเตอร์ช่างบ่นได้ที่นี่ค่ะ
http://jaktared.multiply.com/journal/item/18/18
คำเตือน : ห้ามอ่านเกินวันละ 2 เรื่องเพราะอาจเสพติด โปรดสังเกตคำเตือนบน website
____________________________________________________
ถุงกระดาษใบนี้ ได้มาจาก Tourist Information Centre ของเมือง Tanunda ใน South Australia เนื่องจากรูปถ่ายเก็บไม่หมด และตัวหนังสืออาจเล็กเกินไป จึงคัดข้อความที่อยู่ข้างถุงกระดาษมาลงไว้ให้อ่านกันชัดๆ หวังว่าคงเกิดประโยชน์โดยถ้วนหน้ากันค่ะ
Thirty things to do with this paper bag (อ่านแล้วทิ้งถุงใบนี้ไม่ลงถ้ายังไม่ได้ทำ 1 ใน 30 สิ่งต่อไปนี้ -- ผู้เขียน)
1. Put all your rubbish in it while you?re driving and then put it in a bin.
2. Put your bottles and aluminium cans in it to take to a recycling depot and receive your 5c back.
3. Use it to pack your smelly socks in.
4. Keep it in the boot for when you need a bag.
5. Take it to the shops for putting groceries in.
6. Breathe into it slowly to stop yourself hyperventilating.
7. Wear it on your head as a sunhat.
8. Pull it over face, tear a slit for your eyes and pretend you?re Ned Kelly.
(Ned Kelly เป็นจอมโจรฮีโร่ของชาวออสซี่ ? ผู้เขียน)
9. Write ?Gucci? on the side and have a free designer handbag.
10. Fold it up really small and use it to chock-up a wonky table leg.
11. Tie string on one end and use it as a kite.
12. Use it as a parachute for Barbie doll.
13. Pull it over your head if you don?t want to be recognized by someone.
14. Tie it with a ribbon and you?ve got some very practical gift-paper.
15. Carry your dirty footy boots in it.
16. Carry your lunch in it.
17. Use it for sitting on the ground so your bottom won?t get dirty.
18. Use it as a mitt when you check your tyres so your hands don?t get dirty.
19. Cut it up and use it as notepaper.
20. Let the kids draw on it.
21. Keep all your holiday maps and brochures together in it.
22. Collect al your holiday keepsakes in it.
23. Use it as a tote bag on the beach
24. Use it as a bin liner where you?re staying.
25. Use it as a briefcase back at work.
26. Store your holiday photos in it.
27. Use it to carry bottles of wine out to dinner.
28. Use it for papier-mache sculpture.
29. Use it to prove you can fight your way out of a paper bag.
30. Put it out for recycling.
Everything has more than one use even a humble paper bag. So please think about that before you throw anything away. Could it be re-used? Could I be recycled? That way, you?ll help us reduce the tonne of waste that every single person produces in South Australia each year because our aim is zero waste.
Keep this bag to put other brochures in during your visit.