เมื่อเอ่ยถึง Deep Purple ต้องมีบ้างล่ะ ที่จะต้องนึกว่า เป็นผู้บุกเบิกดนตรีHard Rock เป็นวงร็อกสัญชาติอังกฤษที่มีอายุยืนยาวอีกวงหนึ่งมาจนปัจจุบันนี้
แต่ผมสนใจในแง่มุม การใช้นักดนตรีค่อนข้างเปลืองที่สุดในโลก วงนึง ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีทางพุทธศาสนา ว่าด้วยเรื่อง อัตตา แปลว่า ? ตัวกู-ของกู ? (แปลโดยท่าน พุทธทาสภิกขุ)
ซึ่งมันก็ตรงกับ บิดาแห่งจิตวิทยา ซิกมันด์ ฟรอยด์ เรียกว่า Ego
เอาแค่มือกีตาร์ หลายๆคนคงยังไม่รู้ว่า นอกจาก Ritchie Blackmore ยังมี Joe Satriani , Tommy Bolin และ Steve Morse ก็เคยขึ้นชื่อว่าเป็นมือกีต้าร์ วงนี้มาแล้ว
ใน 3 อัลบั้ม แรกๆ ของ Deep Purple เรียกว่ายังไม่ตกผลึกดี มีเพลงผลงานของตัวเองบ้าง แต่ก็ไม่ดังมากเท่าไรนัก
จึงกันเหนียวโดย มี cover เพลงของคนอื่นๆ อย่างของ Beatles เช่น ?Help? หรือ ?We Can Work It Out? มาเล่นในแนวไซคีเดลิค
http://www.youtube.com/watch?v=S14XaF6bW7A
สมาชิกช่วงนี้ ยังไม่ใช่ที่คุ้นหู้คุ้นตากันมากนักในบ้านเรา จะเรียกว่า เป็น "Deep Purple Begins " ก็น่าจะได้
ย้อนอดีตไปนิดนึง
เริ่มต้นเมื่อมือกลอง Chris Curtis ฟอร์มวงร็อกขึ้นมาใหม่ในชื่อ Roundabout
ได้ Jon Lord มือคีย์บอร์ด ที่มาจากสายดนตรีคลาสสิก
มือกีตาร์ Ritchie Blackmore ซึ่งมาจากการสมัคร และ ขอ Audition ด้วยตัวเองเลย
มือเบส Nick Simper เพื่อนเก่า Jon Lord แนะนำมาอีกที
นักร้องนำ Rod Evans มาพร้อมกับ Ian Paice มือกลองตลอดกาลของวง
แล้ว Chris Curtis ก็กระเด็นออกไปพร้อมกับชื่อ ชื่อ Roundabout โดยปริยาย (( เออ ประหลาดดีเหมือนกัน))
เมื่อครบวงลงตัวกันแล้ว ก็เปลี่ยน ชื่อวงใหม่ซะ เป็น Deep Purple เดือนกันยายน ปี 1968
หลังจากจบ อัลบั้มที่ 3 Jon Lord ผู้ยังพิสมัยดนตรีคลาสสิก แอบไปมีผลงานเพลงรูปแบบคอนแชร์โต ชุด ?Concerto for Group and Orchestra? ร่วมกับวง Royal Philharmonic Orchestra ทำให้ Jon Lord ได้เจอกับ Ian Gillan และ Roger Glover จึงชักชวนมาเป็น นักร้องนำ และมือเบส ตามลำดับ
http://www.youtube.com/watch?v=JnEhFMEG2W0
((Ian Gillan และ Roger Glover เคยมีผลงานตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1964 ในนามวง Episode Six และ The Flower Pot Men and their Garden แต่อาภัพชื่อเสียง))
Deep Purple จึงมาชัดเจนเอาใน อัลบั้มที่ 4 ?Deep Purple in Rock? ในปี ค.ศ. 1970
(((โดยส่วนตัว ชอบคิดว่าอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ 1 เสมอ 55555)))
ชื่อสมาชิก
Ian Gillan ? Vocals
Ritchie Blackmore ? Guitar
Jon Lord ? Keyboard
Roger Glover ? Bass
Ian Paice ? Drums
?Deep Purple in Rock? ถือว่าเป็นอัลบั้มสุดคลาสสิกของดนตรีฮาร์ดร็อก กับการที่อัลบั้มประเดิมความสำเร็จ จริงๆของวง บรรจุเพลงดังอย่าง ?
Black Night? ?
Speed King? ?Into The Fire? ?Child in Time? ถ้าเทียบดนตรีในยุคสมัยนั้น เพลง ดัง จริงๆ ขอบอก ซึ่งในยุคนั้น เพลงแนวนี้ ต้องเสพกันแบบ ชมกันสดๆ ซึ่งแน่นอน ชื่อเสียงก็ล่ำลือกันแบบ ปากต่อปากไปว่า ?ข้าไปฟังมาแล้วโว้ย วง Deep Purple นี้เจ๋งสุดๆ เล่นดังจริงๆ แถม เร็วปรื๊ดดด อีกต่างหาก ถ้านายไม่เจ๋งจริง อย่าเข้าไปฟังเลย ขอบอก 5555!!! ? และแน่นอน ขาร๊อกมันท้าอย่างนี้ไม่ได้อยู่แล้ว จะมีใครไม่อยากไปลองดูมั่งล่ะ ??? ส่งผลให้วง Deep Purple ต้องทัวร์คอนเสิร์ตสำหรับชุดนี้ยืดยาวไปถึง 15 เดือน
อัลบั้มชุดที่ 5 ของ Deep Purple ?Fireball? คลอดออกมาในปี ค.ศ.1971 มีความเป็น Progressive มากขึ้น
นอกจากเพลง ?
Fireball? แล้ว (เพลงขวัญใจมือกลอง เลยหล่ะ) เพลงอื่น ผมไม่รู้จัก เลยขอผ่านไปไม่พูดถึง
อัลบั้มชุดที่ 6 ?Machine Head? คลอดมาในปี ค.ศ. 1972 สาเหตุที่ออกได้ไว เพราะ ได้บทเรียนจาก ที่แล้วมา ต้องเสียเวลาไปทัวร์ เลยไม่มีเวลาทำเพลง ทำให้เสียดายเงินทองชื่อเสียงที่หล่นหายไปในเวลาอันควร เลยเอาช่วงที่ ทัวร์โปรโมท อัลบั้มชุดที่ 5 ทำเพลง อัดเสียง ระหว่างเดินทางด้วยซะเลย โดยเริ่มจากเพลงดังขวัญใจชาวร๊อก อย่าง Highway Star เพลงด่านอรหันต์ของมือกีต้าร์โซโล ที่ทุกคนต้องรู้จักและเคยฝ่าด่านไปให้ได้ ก็ถูกเขียนขึ้นช่วงเดินทางไปทัวร์ ที่ เมืองปอร์ตสมัธ ในประเทศอังกฤษ แค่ประเดิม เล่นเป็นน้ำจิ้ม ในระหว่างทัวร์ช่วงนั้น ก็เรียกว่า กระชากใจวัยจิ๊กโก๋ให้ลุกออกมาดิ้นกันสุดๆ ทางวงจึงเริ่มเตรียม เพื่อ อัลบั้มที่6 นี้อย่างจริงจัง
เมื่อเดินทางมาทัวร์ ถึงสวิตเซอร์แลนด์ในเดือนธันวาคม 1971 เริ่มเช่า ห้องบันทึกเสียงเคลื่อนที่ ชื่อ Rolling Stones Mobile Studio เพื่อทำอัลบั้ม ซึ่ง Studioนี้ เป็นส่วนหนึ่งใน อัครรมหาสถานบันเเทิงที่ชื่อที่ Montreux Casino แต่ดันเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ซะก่อน ซึ่งต้นเพลิงก็มาจาก พื้นที่ส่วนที่มีการแสดงของ Frank Zappa กับ วงThe Mothers of Invention สาเหตุก็ว่ามาจากมีเด็กมือบอนจุดไฟเล่นแล้วพุ่งไปกระทบเพดานเกิดไฟลุกไหม้ วอดวายแบบ ซานติก้า บ้านเราเปี๊ยบบ !!!!!
วงเลยต้องขยับ เอาข้าวของไปกองไว้ที่ โรงละครท้องถิ่น แห่งหนึ่งชื่อ The Pavilion และบันทึกเสียงไปได้แค่ เพลงเดียว เพราะโดนชาวบ้านแถวนั้น ด่าเอาเพราะ หนวกหู ส่วนรายละเอียดของข่าว ติดตามได้ในเนื้อเพลง ของเพลงแรกและเพลงสุดท้าย จากThe Pavilion แห่งนี้ นั่นคือ? ?
Smoke on the Water? เพลงฮิตที่สร้างสถิติ ว่าเป็นเพลงที่ถูกเล่นท่อน Intro มากที่สุดในโลก ในร้านขายกีต้าร์!!!
อัลบั้มชุดที่ 7 ก็ตามมในปี ค.ศ. 1973 กับชื่อ อัลบั้ม ?Who Do We Think We Are? ซิงเกิลฮิต ?Woman from Tokyo? แต่เพลงไม่น่าสนใจเท่ากับ อัลบั้มนี้ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวง !!
พอจบ ทัวร์คอนเสิร์ตที่ประเทศญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1973 Ian Gillan นักร้องนำบอกลาออก ซะดื้อๆ คาดเดากันว่าเป็นเพราะ ความไม่ลงรอยกัยในเรื่องแนวเพลง กับ Ritchie Blackmore
Roger Glover มือเบส ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท Ian Gillan จึงออกจากวงไปอีกคน
David Coverdale (นักร้อง) และ Glenn Hughes(เบส) จึงเข้ามาประจำการแทน
อัลบั้มชุดที่ 8 Burn ก็ตามมาในช่วงต้นปี ปี ค.ศ. 1974 และ อัลบั้มชุดที่9 Stormbringer ก็ตามมในช่วงปลายปี ค.ศ. 1974(อัลบั้มนี้ คุ้นอยู่เพลงเดียว คื อ"Soldier of Fortune")
ภายใต้ ชื่อสมาชิก
Ritchie Blackmore - guitar
David Coverdale - lead vocals
Glenn Hughes - bass, vocals
Jon Lord - keyboards
Ian Paice - drums
ต่อมาในปี 1975 ก็ไปอีกคน คือมือกีต้าร์เทพ Ritchie Blackmore เกิดเบื่ออะไรขึ้นมาไม่ทราบได้ ออกไปตั้งวงใหม่ของเขาเองชื่อวง Rainbow
ซวยละสิ!!!
แล้ว Deep Purple จะไปหามือกีต้าร์ที่ไหน? ที่จะเล่นได้อย่าง Ritchie คงไม่มีอีกแล้ว
แต่ต่อมาไม่นาน ก็มีชายชาวอเมริกันชื่อว่า Tommy Bolin โดยการแนะนำจาก David Coverdale เดินเข้ามาในสภาพผอมแห้งและอิดโรยแบบไอ้ขี้ยา เข้ามาสมัครตำแน่งมือกีต้าร์ เมื่อ Tommy Bolin แสดงฝีมือ ซึ่งดูจะสวนทางกับรูปลักษณ์ สมาชิกในวงได้รับฟังเสร็จ เขาก็ได้งานทำทันทีเลย ในอัลบั้มต่อมา ชื่อชุด Come Taste The Band ในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ 1976
http://www.youtube.com/watch?v=aEIAXewOPSo
แต่ต่อมาไม่นาน (อีกเช่นเคย ) 2เดือนหลังจากออกอัลบั้ม Tommy Bolin ก็สิ้นสภาพสมาชิกวง ก็ด้วยเพราะอำลาจากโลกนี้ไป เพราะเสพยาเกินขนาด ในปี ค.ศ 1976
เป็นอันว่า จบกัน สำหรับ Deep Purple
สมาชิก ที่เหลืออยู่ จึงลงมติว่า ?รวมกันตายเป็นหมู่ แยกกันอยู่ คงจะสบายกว่านี้?
แยกย้ายตัวใครตัวมันดีกว่า
เป็นอันว่า จบกัน สำหรับ Deep Purple !!!!
ดังคำพระท่านว่า "สรรพสิ่งย่อมไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน ย่อมมีเกิดขึ้นและดับไปเป็นธรรมดา "
(โปรดติดตาม ตอนต่อไป)